วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สารลึบพระสูรย์

ลึบพระสูรย์


วรรณคดีฝีมือการประพันธ์ระดับบรมครูเรื่อง ลึบพระสูรย์ หรือ ลึบปสูรย์ หรือ ลึบบ่สูญ ฯลฯนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการว่า ใครเป็นผู้ประพันธ์ และประพันธ์ขึ้นในยุคไหน ได้มีการสันนิษฐานกันไปหลากหลายเช่น
  1) เจ้าปางคำ ผู้ครองนครหนองบัวลำพู ผู้ประพันธ์เรื่อง สินไซ (มีอายุราวสามร้อยกว่าปีที่แล้ว)
  2) พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งกรุงเวียงจันทร์องค์สุดท้ายครองราชในปี2348-2371
 3) พระมหาสมณพราหมาจารย์สิบสองกวี ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรล้านช้าง และเป็นที่ปรึกษาในราชสำนักของพระเจ้าอนุวงศ์
 4) นักปราชญ์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงยุคหลังพระเจ้าอนุวงศ์
  ในส่วนของความหมายของชื่อเรื่องนั้นก็ให้ความหมายแตกต่างกันไปเช่น ลึบพระสูรย์ หมายถึง บังพระอาทิตย์ ลึบบ่สูญ หมายถึง ลบไม่หาย เป็นต้น จะยังก็แล้วแต่ก็เอาไว้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ ผู้คักเติบ (ผู้เชี่ยวชาญ)ให้ท่านไปค้นหาเอาความจริงก็แล้วกัน ส่วนในความหมายในเชิงกาพย์กลอนที่เรียกว่า"ผญา"นี้ จริงๆแล้วก็แผลงมาจากรากศัพย์ของบาลีว่า "ปัญญา" ถ้าสันสกฤตก็"ปรัชญา"ซึ่งโดยปกติภาษาลาวมักจะพูดอะไรๆให้ลัดสั้นแต่ยังคงความหมายเดิมเอาไว้ อย่างป.ปลา ก็จะออกเสียงเป็นตัว ผ.ผึ้ง เช่นคำว่า เปรต ภาษาลาวก็จะเรียกว่า "เผด" ฉะนั้นคำว่า"ปัญญา หรือ ปรัชญา"นี้ จึงกลายมาเป็น"ผญา" อย่างที่พวกเรารู้ๆกันนี้เอง ส่วนความหมายก็ตรงตัวอยู่แล้วโดยไม่ต้องแปลให้เสียเวลา เอาหล่ะ!เราไปเข้าสู่เนื้อหาที่มีอยู่สามบั้นกันเลยกันเลยแล้วกัน

บั้นบังระหัส

ดวงนี้ 

ซื่อว่าบุแผ่นธรณีดั้น กุมพระกรกำโฮบ

เกาะกายเกยโลบเลี้ยว สเมรุค้านโค่นคลอน

คะเคื่อนคุงแก่นเหง้า กากาบไกวกะจัด

เสลาเนาภูผา เกลื่อนทะรังทะลายย้อง



อามมเนาแนบพื้น เฟือนฟาดฟองสมุทร

นาโคคะ คาดโฮงฮามย้อง

จักรวาลเหลื้อง คีรีหงวยง่วน

นาคะเฟื่อนฟั่งฟ้าว ฟุ่มเฟื้อแค่เฟือย


วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยุคนัทธสูตรทางสี่สายสู่อริยะมรรค


    ก็อย่างที่พุทธบริษัททั้งหลายต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้นั้นมีมากมายไม่มีจบสิ้นเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสั่งสอนนั้นมีนิดหน่อยเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ผู้เขียนขอยกสมมุติเอาเองว่าใบไม้ในกำมือนั้นมีเพียงสี่ใบ ซึ่งใบแรกอุปมาเป็นทุกขสัจจะ ใบที่สองเป็นสมุทยสัจจะ ใบที่สามเป็นนิโรธสัจจะ ใบที่สี่เป็นมัคคสัจจะ ที่เราทั้งหลายต่างก็รู้จักกันดีในนามว่า"จตุราริยสัจ"นั่นเอง

  ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบอริยสัจสี่นี้ว่าเป็นเหมือนรอยเท้าช้าง ที่เป็นสัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุด รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหมดสามารถเอามารวมลงในรอยเท้าของช้างได้ ก็ฉันน์นั้นเหมือนกันว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงพร่ำสอนตั้งแต่ราตรีที่ตรัสรู้ จนถึงราตรีที่ปรินิพพานตลอด๔๕พรรษานั้น ก็รวมลงที่อริยสัจสี่นี้เอง

  ซึ่งผู้ที่รับฟังแล้วนำมาปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนั้นย่อมรู้ได้เฉพาะตน เป็นพยานแก่ตนเองได้โดยอาศัยหลักปริวัฏฏ์๓ อาการ๑๒ คือสัจญาณ๑ กิจญาณ๑ กตญาณ๑
สัจญาณ คือ การหยังรู้ความจริงว่า 
นี้คือทุกข์(ขันธ์๕)
                 นี้คือเหตุแห่งทุกข์(ตัณหา๓)
                 นี้คือความดับทุกข์(นิพพาน)
                              นี้คือทางแห่งความดับทุกข์(มรรค๘)
กิจญาณ คือ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า ทุกข์ควรรู้
       เหตุแห่งทุกข์ควรละ
                   ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้ง
                                  ทางแห่งความดับทุกข์ควรทำให้เจริญ
กตญาณ คือ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ทุกข์ได้รู้แล้ว
              เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
                 ความดับทุกข์ได้แจ้งแล้ว
                                 ทางแห่งความดับทุกข์ได้เจริญแล้ว
และผู้ที่ได้ทำญาณทั้ง๓ต่ออริยสัจ๔ได้บริบูรณ์แล้วนี้ ท่านสมมุติเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ จบกิจในพระพุทธศาสนาสำเร็จแล้วซึ่งประโยชน์ตน เหลือเพียงแต่ประโยชน์ผู้อื่นที่ท่านอาจจะอนุเคราะห์ได้ตามสมควรของแต่ละคนไป

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

ไม่พัก ไม่เพียร ศิลปะชั้นเลิศแห่งการภาวนา


สำหรับคำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"นี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดีในหมู่ของนักภาวนา เพราะสองคำนี้มีอยู่ใน"โอฆตรณสูตร"พระไตรปิฏกเล่มที่๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรค คือหมวดที่ว่าด้วยต้นอ้อ ที่มีเทวดามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระองค์ทรงข้ามโอฆะ ๔ ได้อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เราเองเมื่อไม่พัก ไม่เพียรจึงข้ามโอฆะได้"
เทวดาทูลถามว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เมื่อไม่พักไม่เพียรทรงข้ามโอฆะได้อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เมื่อใดเรานั้นยังพักอยู่ เมื่อนั้นเราจักจมอยู่ เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เมื่อนั้นเราก็ยังลอยอยู่แน่นอน  เราไม่พัก ไม่เพียรอย่างนี้แล จึงข้ามโอฆะได้"

  จากการปุจฉา วิสัชนากันแค่นี้ปรากฏว่าเทวดานั้นเข้าใจในความหมายของคำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"จึงได้กล่าวบทกลอนชื่นชมแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายตัวไป

  ไม่พักนี่พอเข้าใจ แต่ไม่เพียรนี่สิมันยังไงๆอยู่ เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เคยได้ยินแต่ว่า"คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" ฉะนั้นในการปฏิบัติเราต้องเพียรอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง เราต้องเพียร ฯลฯ 

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๕(ตอนสุดท้าย)


ก็ห่างหายไปจากการเขียนข้อความไปร่วมปีเนื่องจากหลายๆสาเหตุ ซึ่งล้วนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจำเป็นทั้งนั้น จนทำให้ไม่มีเวลาเขียนต่อประกอบกับไม่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์มาร่วมปีแล้วด้วย ช่วงนี้ก็เคลียปัญหาต่างๆไปได้บ้างก็เลยตั้งใจจะกลับมาเขียนต่อและตัดสินใจว่าจะสรุปให้จบในตอนนี้เลย

  ในช่วงที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์ไปแสดงธรรม ณ ที่ต่างในระหว่างปลายปี ๒๕๕๘-ต้นปี ๒๕๕๙ นั้น ผู้เขียนได้ทำเป็นคลิปวีดีโอและอัฟโหลดลงยูทูบช่อง panyawachiro sakyaputto ไว้ประมาณ ๑๓๑ คลิป และได้ทำไฟล์เสียงในรูปแบบ mp3 และไฟล์บีบอัดแบบ .rar ลงไว้ในเวบไซต์ https://sites.google.com/site/dhammawachira/ และได้ทำต้นฉบับเพื่อทำเป็นแผ่น cd โดยได้ร่วมงานกับโยมเหลิม โยมเติ้ล และโยมจูน โดยทำออกมาเป็น cd ๓แผ่นดั่งที่ได้ทำแจกไปแล้ว ส่วนการทำคลิปวีดีโอลงยูทูบกับการทำเวบไซต์นั้น ยอมรับว่าลุยเองคนเดียวแบบมั่วๆ เพราะไม่เคยมีประสพการณ์มาก่อน ทีแรกกะจะทำเป็นแอฟปลิเคชั่นลงในเพลย์สโตร์ ให้ดาวว์โหลดลงมือถือไว้ฟังอีกทางหนึ่ง แต่พอดีหมดสภาพก่อนเพราะช่วงนั้นทุ่มเทกำลังสมองในการทำงานเผยแผ่ธรรมะหนักมาก ประกอบกับโยมพ่อและโยมแม่ก็เจ็บป่วยต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เลยต้องกลับมาอยู่วัดใกล้บ้าน งานทุกอย่างเลยต้องหยุดลงแค่นั้น จนเพิ่งพอมีเวลามาสานต่อนี่แหละ