ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้วนะ
พอออกจากวัดนั้นมาก็มาพักที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งที่ชลบุรีซึ่งผู้เขียนเคยมาปฏิบัติธรรมช่วงวันหยุดเมื่อตอนยังเป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ
ก็มีความคุ้นเคยกับที่นี่พอสมควรทีแรกกะจะมาพักอยู่เพียงระยะนึงสั้นๆ แต่ดูเหมือนวิบากกรรมของจริงมันรออยู่ที่นี่มั้ง
ผู้เขียนจึงได้รับอารธนาให้อยู่จำพรรษาที่นี่เพื่อรอรับผลของวิบากนั้น เพราะสิ่งที่ผู้เขียนได้รับมันให้ผลทวีคูณมากขึ้นกว่าตอนอยู่ที่วัดเดิมอีกเป็นสิบๆเท่าเลยทีเดียว
เล่นเอาน้ำตาตกในเลยแถมไปไหนก็ไม่ได้เพราะมันเป็น
ช่วงเข้าพรรษา ทั้งเสียงด่าให้เจ็บใจและความเจ็บปวดทางร่างกายที่เขามีวิธีกระทำได้อย่างแยบยลชนิดคาดไม่ถึง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือก้มหน้ารับเพราะไม่รู้จะตอบโต้ยังไง แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดนะเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะยังมีอยู่ เอาเป็นว่าผู้เขียนต้องใช้ความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจแบบสุดๆเลยเพื่อประคองตัวเองให้อยู่จนครบพรรษาให้ได้ ขนาดโยมพ่อโยมแม่รู้ข่าวท่านก็อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาเยี่ยมนะ ยังถูกคนที่นั่นมองท่านทั้งสองตอนที่ท่านเดินไปตักข้าวมากินด้วยสายตาเหยียดๆ ซึ่งบอกตรงๆเลยว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันเศร้าสลดใจแบบสุดๆมาก อยากจะเดินเข้าไปบอกกับเขาว่า “พวกเอ็งทำกับข้าฯ มามากแล้ว พวกเอ็งอยากจะทำให้มากกว่านี้ก็เชิญเลยตามสบาย เพราะข้าฯไม่ตอบโต้พวกเอ็งหรอก เพียงแต่พวกเอ็งช่วยมองพ่อกับแม่ของข้าฯให้ดีกว่านี้ได้มั้ย พ่อกับแม่ของข้าฯไม่ใช่ขอทานนะโว้ย!” แต่ก็ได้แค่คิดคำรามในใจนะคือมันทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นจริงๆ แต่ในช่วงของวิกฤตนั้นผู้เขียนก็ได้มีโอกาศไปกราบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง (ท่ามกลางเสียงด่าประจานไล่หลังแบบลั่นวัดเลย)
ซึ่งท่านได้ถามผู้เขียนว่า “เห็นกิเลสตัวเองไหม” ผู้เขียนจึงได้กราบเรียนท่านว่า “พอเห็นอยู่ครับ” ท่านก็เมตตาถามต่ออีกเพื่อเช็คดูว่าเราเห็นได้จริงไหมโดยท่านถามว่า “ตัวไหนเกิดบ่อย” ผู้เขียนนึกย้อนดูนิดนึงก็เห็นแต่ตัวเองในแต่ละวันจะมีแต่โทสะ ปฏิฆะกับความคิดฟุ้งซ่านไปว่าเมื่อไหร่จะถึงวันออกพรรษานะ จะได้ไปจากที่นี่เสียทีเพราะใช้ขันติมาก็มากจนขันติจะกลายเป็นขันแตกอยู่แล้ว จึงได้กราบเรียนท่านไปว่า “ปฏิฆะกับความฟุ้งซ่านครับ” ซึ่งท่านก็รับ “ใช่ เห็นได้ถูกแล้ว แต่มันเกิดขึ้นได้ถี่มากเห็นโกรธทุกเรื่องเลย เพราะเราเป็นคนจริงจังนิสัยนี้แก้ยากนะ เวลาคิดปรุงอะไรขึ้นมาก็เอาตัวเองถลำเข้าไปจริงจัง ยิ่งฟุ้งซ่านมากก็จะเป็นเหตุให้มีโทสะมากเพราะมันเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งซึ่งกันและกัน คือมันเลี้ยงกันอยู่ ให้เห็นนะว่าตัวนี้มันกำลังโกรธอยู่ มันไม่ใช่เราคือให้เห็นเหมือนเห็นคนอื่นโกรธ จิตไหลไปคิดให้รู้ทันแต่อย่าปรุงแต่งไปกับมัน ให้รู้ว่าจิตกำลังคิด ไม่ใช่ให้รู้ว่าคิดเรื่องอะไรนะเพราะถ้ารู้ว่าคิดเรื่องอะไรหมาแมวมันก็รู้ได้ว่ามันคิดเรื่องอะไร ต้องให้มาเห็นว่าจิตมันกำลังคิดอยู่ มันไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นคนโทสะจริตก็ดีนะ เพราะโทสะมันเป็นกิเลสที่ดูง่ายถ้าภาวนาเป็นก็จะไปได้เร็ว แต่ถ้าพลาดก็ทำบาปได้มหันต์เหมือนกัน” นี่คือคำพูดสอนของครูบาอาจารย์ท่านนั้นซึ่งผู้เขียนยังจดจำได้เท่าทุกวันนี้ แต่จะไม่ขอเอ่ยนามท่านนะ ผู้เขียนเอาคำพูดนี้มาวิเคราะห์ดูก็ว่า เออ ในความไม่ดีมันก็ยังมีดีซ่อนอยู่นะแต่ปัญหาคือเราจะนำมันออกมาใช้ได้ยังไงนี่สิ พอกลับมาที่สำนักสงฆ์หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จขณะที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันนั้น จ้าวสำนักก็เปิดฉากด่าผู้เขียนขึ้นด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดแบบสุดๆ แล้วลามมาถึงพระรูปอื่นๆที่ไปกราบพระอาจารย์ท่านนั้นกับผู้เขียนแบบไม่ไว้หน้าใคร แต่ผู้เขียนจะโดนหนักที่สุดเพราะตกอยู่ในฐานะเป็นแกนนำ (เฮ้ออ ยังกับอยู่ในม็อบ) ซึ่งแน่นอนทุกคนที่โดนต่างก็ก้มหน้านิ่งด้วยจิตใจที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต้องยอมรับนะว่าเขามีกำลังจิตที่เข้มแข็งมากกว่าทุกคนในสำนัก เมื่อตอนแรกๆที่ผู้เขียนเข้ามาอยู่ตอนนั้นเขากับผู้เขียนยังไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน เขาเคยแสดงฤทธิ์อะไรบางอย่างให้ผู้เขียนดู แต่จะไม่ขอลงในรายละเอียดนะ ผู้เขียนก็ยอมรับว่าเขาทำได้จริง ฉะนั้นเวลาเขาโกรธใครด่าใครพลังของความโกรธมันก็จะมีมากจนเหมือนคล้ายๆกับว่าเราถูกคีมเหล็กอันใหญ่หนีบแล้วตรึงเอาไว้ หมดหนทางที่จะดิ้นรนหลีกหนีเพื่อความเป็นอิสระภาพได้ ยิ่งเขาด่าด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนเราถูกคีมเหล็กอันใหญ่นั้นบีบอัดเรามากขึ้นตามเท่านั้น กว่าเวลาจะผ่านไปได้แต่ละวินาทีมันช่างนานแสนนาน (ไม่ธรรมดานะ นานเป็นแสนๆเลย เฮ้ย กำลังเขียนเรื่องซีเรียสอยู่นะเว้ย มาแทรกเรื่องขำทำไมเนี้ย เสียบรรยากาศหมด) คืนนั้นผู้เขียนเดินกลับกุฏิด้วยจิตใจที่หกคะเมนตีลังกายิ่งกว่าตอนถูกด่าที่วัดเดิมอีก ตอนนั้นมันเป็นช่วงกลางพรรษา ก็เหลือเวลาอีกตั้ง ๔๕ วันกว่าจะออกพรรษา เฮ้ออ ทำไงดี ถ้าจะพูดถึงเรื่องความขัดแย้งกันก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เพราะแค่เขาไม่พอใจที่ผู้เขียนพาพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านนั้นแค่นั้นแหละ บรรยากาศต่อจากนั้นมันดูอึมครึมขมุกขมัว ทั้งพระทั้งชีทั้งโยมคนทำงานในวัดแต่ละคนเหมือนถูกอะไรบางอย่างตรึงสะกดไว้ให้ไม่มีความเป็นอิสระแม้แต่ในความคิด จิตใจก็มีแต่ความหวาดหวั่นหม่นทึบ ผู้เขียนพยายามปลุกปลอบตัวเองให้มีกำลังใจด้วยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิครั้งละนานๆ แล้วถวายป็นพุทธบูชา เวลาที่เจ็บปวดมากๆก็พยายามนึกไปถึงหลักของกรรม ก็อดทนทำอยู่อย่างนี้ทุกวันจนมาถึงวันออกพรรษาจนได้ ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดไว้อย่างลงตัว พอปวารณาเสร็จตอนเช้าก็มีรถของโยมที่มารับพระอีกรูปหนึ่งกลับไปที่บ้าน เพราะลูกชายท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุผู้เขียนจึงได้ขออาศัยออกไปจากที่นี่ด้วย พอฉันท์เช้าเสร็จเก็บของบริขารเสร็จก็รีบเผ่นออกจากที่นั่นแบบไม่เหลียวหลังเลย จากนั้นก็ตระเวนไปหาหมอรักษาตัวอยู่หลายที่ หลายจังหวัดแม้แต่ในกรุงเทพฯก็ได้เข้ามา ผ่านการรักษาทั้งแผนปัจจุบันแผนโบราณรวมๆแล้วก็ยี่สิบกว่าครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาย ยิ่งนานวันเข้าความเจ็บปวดมันก็เพิ่มทวีขึ้น ผู้เขียนก็เพิ่งมารู้ตัวเหมือนกันนะว่าตัวเองมีความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจได้แบบเข้าขั้นดีทีเดียว แต่จะว่าดีก็ไม่เชิงหรอกนะเพราะจริงๆแล้วมันก็จะมีโทสะเจือๆอยู่ตลอด เวลาเจ็บปวดขึ้นมามากๆโทสะก็จะมากขึ้นตาม แต่เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้มั้ง มันเลยกลายเป็นหลังพิงฝา กลับมาอยู่กับความอดทนต่อไป แต่คนที่อยู่ใกล้ๆกับเรานี่สิจะพลอยได้รับผลกระทบจากความหงุดหงิด ปฏิฆะของเราเข้าเรื่อยๆจนกลายเป็นเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ใกล้ ซึ่งก็คือครูบาธีระนั่นเอง เพราะพอออกพรรษารับกฐินเสร็จท่านก็รีบตามมาหาผู้เขียนที่ชลบุรี จากนั้นก็ตระเวนไปด้วยกันทุกๆที่จนล่วงเลยข้ามปีมาถึงเมือเดือนมีนาคมปี ๒๕๕๘ ผู้เขียนกับท่านจึงได้แยกกัน ผู้เขียนเองก็สังเกตุเห็นอาการที่ท่านรำคาญเรามานานระยะนึงแล้ว ก็เข้าใจท่านอยู่นะแต่จังหวะมันยังไม่ลงตัวมันก็เลยตามเลยไปก่อน จนได้กลับมาที่ชลบุรีอีกครั้งคราวนี้ผู้เขียนได้ขอปลีกตัวไปพักอยู่ที่วัดป่าธรรมชาติ อ.บ้านบึง ซึ่งเป็นอีกวัดหนึ่งที่เมื่อตอนยังเป็นฆราวาสผู้เขียนจะมาพักภาวนาอยู่เป็นประจำ ส่วนครูบาธีระท่านเลยไปอยู่ที่ระยองผู้เขียนจึงรู้สึกโล่งโปร่งใจขึ้นมาบ้างเพราะบอกตรงๆว่าเกรงใจท่านมากๆ ที่วัดป่าธรรมชาตินี้เองที่ผู้เขียนได้มาเจอกับลุงหนอมซึ่งเป็นคนบุรีรัมย์เช่นเดียวกับผู้เขียน และเคยรู้จักกันเห็นกันมาหลายครั้งเมื่อยังเป็นฆราวาส เพราะแกมีญาติมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดนี้ แกจึงได้มาที่นี่บ่อยๆ จากการที่ได้คุยกันจึงได้รู้ว่าแกมาพักที่นี่เพื่อมารักษาคนที่โดนอะไรคล้ายๆกับผู้เขียนในตอนนั้นนั่นแหละ แกบอกว่าแถวชลบุรีนี้เล่นของแนวๆนี้กันเยอะมากโดยเฉพาะที่พัทยา ตอนนั้นฟังๆไปก็ยังไม่ค่อยเชื่อหรอกแต่แกพูดท่าทางขึงขังจริงจังมากก็คิดว่า อืมม หรือว่ามันจะมีจริงๆหว่า จำได้ว่าตอนที่เจอกับแกก่อนบวชครั้งล่าสุดแกบ่นๆว่ามีธุระต้องกลับบ้านที่บุรีรัมย์ด่วน แต่ค่ารถไม่พอผู้เขียนเลยช่วยแกไปสองพันบาท จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนผู้เขียนบวชแล้วเหมือนที่เล่ามานั่นแหละจึงได้มาเจอกันอีกที จะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่ใช่ ที่สุดพอเจอกันทักทายปราศัยกันนิดหน่อยแกสังเกตุเห็นอาการของผู้เขียน แกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าโดนอะไรมา จึงได้ชวนกันกลับมารักษาตัวที่บุรีรัมย์ผู้เขียนจึงได้หายเท่าทุกวันนี้ เออ มันก็แปลกดีไปทั่วทุกสารทิศเพิ่งมารู้ว่าหมอดีอยู่ใกล้บ้านเรานี่เอง จนถึงทุกวันนี้นะผู้เขียนก็ยังเป็นคนโทสะแรงไม่มีทีท่าว่าจะหาย อืมม นิสัยนี้มันแก้ยากจริงๆ เวลาอยู่รวมกันกับหมู่คณะผู้เขียนจะคอยระวังมากเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน แต่ก็เหมือนกรรมมันแกล้งนะ เพราะไปไหนก็เจออยู่เรื่อยจนระวังแทบไม่ไหว ยิ่งถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ที่จิตไวๆนะ ผู้เขียนแทบเกร็งเลยเพราะกลัวจิตจะไปปฏิฆะท่าน แต่ก็ไม่วายปฏิฆะอยู่ดี จนผู้เขียนต้องคอยเข้าไปหาแบบฉาบฉวยเอา ถ้าจะให้เข้าไปอยู่คลุกคลีฝั่งตัวอยู่นานๆคงไม่เหมาะกับนิสัยใจคอของผู้เขียนแน่ มันก็คงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยจะตรงจุดนัก แต่คงต้องเป็นแบบนี้ไปพลางก่อนเพราะผู้เขียนรู้ตัวดีว่ากำลังสติปัญญาของผู้เขียนยังไม่พอ อาจพลาดได้สักวันเพราะมันเคยปฏิฆะแรงมากๆ กำลังของโทสะกับกำลังของการกดข่มมันสู้กันอยู่ข้างในจนอกแทบฉีกมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง โอ้ โห ดีนะที่เป็นพระ จริงๆแล้วมันเป็นทุกข์มากๆเลยนะไม่ดีหรอกที่เป็นแบบนี้ จะบอกอะไรตรงๆแบบไม่เคยพูดคำนี้กับใครมาก่อนเลยนะ จุ๊ๆๆๆ เบาๆหน่อย แต่มีข้อแม้นิดนึง คือผู้อ่านต้องรับปากก่อนนะว่า จะไม่เอาไปพูดต่อ เออ สัญญาแล้วนะ “คือผู้เขียนขอบอกตรงๆเลยว่ารำคาญไอ้ตัวนี้เต็มทีแล้ว เบื่อมันมาก โกรธเขาอยู่ได้อย่างกับว่าแกเป็นคนดีนักหนา โง่ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก แกช่วยเลิกโง่ซะทีเถอะว้า เอางี้นะถ้าแกเลิกนิสัยนี้ได้นะ นิพพานัง ปรมังสุขัง เป็นของแกแน่ๆ เพี้ยง” คือผู้เขียนต้องงัดไม้ตายทุกอย่างมาใช้มีทั้งปลอบทั้งขู่ เพราะทำอะไรกับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตาจริงๆผับผ่าสิ เอาหล่ะ ออกนอกเรื่องมามากแล้วขอวกกลับเข้ามาถึงการปุจฉาวิสัชนาธรรมที่บ้านธิกันต่อดีกว่า เดี๋ยวผู้อ่านจะรำคาญเอา หลังจากที่หลวงตาได้เอาหลักของสติปัฏฐานมาพูดอธิบายโดยคร่าวๆว่าให้รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมแล้ว ท่านก็ได้ยกตัวอย่างว่าด้วยเรื่องอายตนะภายในและภายนอกกระทบสัมผัสกัน ก็ให้มารู้ที่ประตูใจพร้อมๆกันไปเลยว่ามันมีความรู้สึกอย่างไร มันปรุงแต่งต่อไปแบบไหน คือให้รู้ในๆๆเข้ามาเรื่อยๆโดยท่านได้ยกเอาคำพูดของหลวงปู่ทา จารุธัมโม มาพูดสำทับว่า “สติตั้งที่ใจ ดูที่ใจ รู้ที่ใจ ละที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ” ทั้ง ๕ อาการนี้ให้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่ารู้จนเป็นอัตตโนมัติ โดยท่านได้ยกตัวอย่างเช่นว่าตามองเห็นสาวสวย ใจมันชอบก็รู้ว่าชอบ มันเอามาปรุงแต่งต่อไปอย่างนั้นอย่างนี้อันเป็นอารมณ์ของราคะก็ให้มารู้ทันเรื่อยๆ สาวสวยนั้นเป็นอายตนะภายนอกคือรูป ตาคืออายตนะภายใน ใจที่เอาผลไปประมวลเปรียบเทียบข้อมูลจนเป็นอารมณ์ของราคะ กิเลส ตัณหานั่นก็คือเป้าหมายที่เราต้องมีสติรู้ให้ทัน ละให้ทันเข้ามาเรื่อยๆ ดั่งวาทะของหลวงปู่ทา จารุธัมโม นั่นเอง ซึ่งมาถึงตรงนี้ครูบาธีระได้พูดแทรกขึ้นมาว่า “เฮ้ย มึงเป็นพระคิดอย่างนี้ได้ไง” (อืมม รู้สึกว่าจะแทรกมาได้ถูกจังหวะดีอยู่เหมือนกัน) หลวงตาท่านก็ได้เสริมขึ้นไปอีกว่า เรามารู้ไอ้ตัวที่มันกำลังด่าว่าเป็นพระอยู่คิดอย่างนี้ได้ไงอีกทีนั่นแหละคือการรู้ในๆๆ รู้ถี่ๆจนเป็นปัจจุบันแบบไม่มีที่สิ้นสุด แต่อย่าไปตัดตอนมันเพราะหลายคนพอเริ่มรู้ได้ถี่ๆแล้วก็จะเลือกเอาฉพาะอารมณ์ที่ดี ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็จะพยายามไม่ให้มันรู้อะไรต่อ แบบนี้ก็จะกลายเป็นคนซื่อบื้อไปเลยเพราะเข้าใจผิดคิดว่าไม่ดีก็จะไม่เอา จะเอาแต่ที่ดีอย่างเดียว ซึ่งคนที่มาหาหลวงตาส่วนมากจะเป็นแบบนี้กันเยอะมาก เวลาส่งการบ้านกับท่านเกือบร้อยละร้อยที่ชอบตัดตอนสภาวะคือไม่ดีไม่เอาจะเอาแต่ดี พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ “รักสุข เกลียดทุกข์” นั่นแหละ ซึ่งในความเป็นความเป็นจริงแล้วมันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะสภาวะทุกอย่างมันจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาปรุงแต่ง เช่นตาเห็นรูปที่สวยงามมันก็ต้องชอบ อันเป็นอารมณ์ของสุขเวทนา เห็นรูปที่ไม่งามมันก็ต้องเกลียดอันเป็นอารมณ์ของทุกขเวทนา เห็นที่ไม่สวยไม่ขี้เหร่มันก็เฉยๆอันเป็นอารมณ์ของอทุกขมสุขเวทนา แต่พอเราไปพยายามตัดอารมณ์ของทุกขเวทนาออกให้เหลือแต่สุขเวทนากับเฉยๆเลยกลายเป็นคนซื่อบื้อไปเลย คือมีบางคนที่มาส่งการบ้านบอกว่าพอทะเลาะกับสามีก็พยายามตัดอารมณ์ขุ่นมัวออก แล้วปรุงแต่งสร้างภพใหม่ขึ้มาเเอาจิตตัวเองเข้าไปอยู่กับความว่างๆ โล่งๆ โปร่งๆ เบาๆ สบายๆทำความรู้สึกบอกตัวเองว่าสามีไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ ว่าเข้าไปนั่น คือแบบนี้มันหลอกตัวเองชัดๆ หรือบางคนก็แก้ปัญหาด้วยการแต่งตัวสวยๆ ออกไปชอ็บปิ้งดูโน่นดูนี่เฮๆฮาๆให้เวลาของความทุกข์มันหมดไปกับความเพลินเพลิน พอกลับเข้าบ้านบรรยากาศแบบเดิมๆมันก็ยังกรุ่นอยู่ แบบนี้มันก็เหมือนเอาขี้เป็ดมาเช็ดขี้ไก่เพราะปัญหาจริงๆมันยังไม่ได้ถูกแก้ ส่วนบางคนก็อาศัยการกดข่มกลบเกลื่อน เก็บกดเอาไว้จนจิตมันระบมชอกช้ำไปหมด แบบนี้มันก็สุดสุดโต่งไปอีกแบบซึ่งประเภทหลังนี้แตะไม่ได้ เพราะแตะแล้วต่อมน้ำตาพังเลย หลวงตาท่านมักจะพูดอยู่บ่อยๆในวีดีโอที่ปล่อยลงในยูทูบหลายๆตอนที่ผ่านมา เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็มี มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่การปฏิบัติ ปฏิบัติผิดจนจิตป่วย และที่แน่ๆตอนที่ 0๕๙ ที่จะเอาลงยูทูบเร็วๆนี้ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะวันนี้เพิ่งอัพโหลดตอนที่ 0๕๘ ลงไป (อะ แฮ่ม ถือโอกาศโฆษณาซะหน่อย) ท่านก็ได้เล่าถึงเรื่องนี้อีก โดยท่านเล่าให้ฟังว่าเห็นผู้มาปฏิบัติธรรมที่วัดบางคน (ผู้หญิง) ใส่ชุดขาวด้วยนะ (เหรอ) ทำเป็นเดินยิ้มไปยิ้มมา ทักคนโน้นคนนี้ ดูภายนอกชั่งเป็นคนมีเมตตามีความสุขมีความโอบอ้อมอารีเสียนี่กระไร แต่ภายในกลับเป็นไปอีกอย่าง พอท่านทักว่าทำไมยิ้มแต่ข้างนอกหล่ะ ข้างในทำไมไม่ยิ้ม แค่นั้นแหละน้ำตาก็พลั่งพรูออกมาปานเขื่อนแตก เฮ้อ นี่แหละคือโทษของการไม่มีสติระลึกรู้เท่าทันสภาวะ ไม่อยู่กับปัจจุบันที่หลวงตาท่านมักเอาวาทะของหลวงปู่มั่นมาพูดอยู่บ่อยๆว่า “รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม” ซึ่งวาทะนี้ผู้เขียนก็ได้นำมาเป็นชื่อของไฟล์วีดีโอที่ได้เอาลงเผยแพร่ในยูทูบแล้วเหมือนกัน (ชัก เริ่มได้ใจโฆษณาถี่ขึ้น) คือหลวงตาท่านจะเน้นที่การรู้ทันสภาวะในๆๆเข้ามาเรื่อยๆอันเป็นปัจจุบันธรรม จนสติ สมาธิ ปัญญามันถูกพัฒนามาจนแก่รอบก็จะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญาที่ท่านมักพูดอยู่บ่อยมากๆว่า “สักแต่ว่ารู้” อันเป็นสุดยอดของการภาวนาขั้นสูงสุดแล้วนั่นเอง มาถึงตรงนี้ครูบาธีระได้พูดเสริมขึ้นว่า “เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว” หลวงตาก็รับว่าใช่ (อืมม คราวนี้กลับมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวได้อย่างเต็มความภาคภูมิอีกครั้ง) แต่ดูเหมือน อ.เชาว์ยังไม่ลงใจอยู่ดีเพราะท่านรีบตัดฉากกลับไปที่อาการมัวๆเบลอๆ ง่วงๆ ซึมๆ ดูสภาวะไม่ได้อะไรของท่านอีก หลวงตาท่านก็เลยรวบยอดสรุปว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะมันยังไม่เป็นธรรมชาติของธาตุรู้ คือยังเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ แล้วก็ตั้งเป้าหมายว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ได้รับฟังมาว่าธรรมชาติของธาตุรู้มันเป็นแบบนี้ สภาวะอาการของความสักแต่ว่ารู้มันต้องเป็นแบบนี้ ก็เลยเกิดมีการกระทำขึ้นเพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ได้ตั้งไว้ สุดท้ายพอไม่ได้ดั่งใจก็เลยทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หดหู่ เซื่องซึม ในทางร่างกายก็เลยพลอยได้รับผลกระทบทำให้ไม่สบายตามไปด้วย พอร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อยจิตใจก็ยิ่งตกต่ำย่ำแย่ลงไปอีก คือมันจะมีผลต่อเนื่องสืบเลี้ยงกันเป็นลูกโซ่อยู่อย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุดได้นั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้สักแต่ว่าตามความเป็นจริงโดยธรรมชาติของธาตุรู้มันจะไม่มีภาระหน้าที่อะไรนอกจาก “รู้” เพราะหน้าที่หรือคุณสมบัติของมันคือ “รู้” เหมือนที่หลวงปู่ทา จารุธัมโม ท่านได้กล่าววาทะเป็นภาษาทางอิสานไว้ว่า “ฮู้ ซือๆ” นั่นเอง เอาหล่ะ ร่ายมาซะยืดยาวน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหลงเหลง เดี๋ยวตอนหน้าค่อยจะมาขยายความของคำว่า “ฮู้ ซือๆ” กัน ใจร่มๆรู้สึกตัวไปด้วยนะ
ช่วงเข้าพรรษา ทั้งเสียงด่าให้เจ็บใจและความเจ็บปวดทางร่างกายที่เขามีวิธีกระทำได้อย่างแยบยลชนิดคาดไม่ถึง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือก้มหน้ารับเพราะไม่รู้จะตอบโต้ยังไง แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดนะเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะยังมีอยู่ เอาเป็นว่าผู้เขียนต้องใช้ความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจแบบสุดๆเลยเพื่อประคองตัวเองให้อยู่จนครบพรรษาให้ได้ ขนาดโยมพ่อโยมแม่รู้ข่าวท่านก็อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาเยี่ยมนะ ยังถูกคนที่นั่นมองท่านทั้งสองตอนที่ท่านเดินไปตักข้าวมากินด้วยสายตาเหยียดๆ ซึ่งบอกตรงๆเลยว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันเศร้าสลดใจแบบสุดๆมาก อยากจะเดินเข้าไปบอกกับเขาว่า “พวกเอ็งทำกับข้าฯ มามากแล้ว พวกเอ็งอยากจะทำให้มากกว่านี้ก็เชิญเลยตามสบาย เพราะข้าฯไม่ตอบโต้พวกเอ็งหรอก เพียงแต่พวกเอ็งช่วยมองพ่อกับแม่ของข้าฯให้ดีกว่านี้ได้มั้ย พ่อกับแม่ของข้าฯไม่ใช่ขอทานนะโว้ย!” แต่ก็ได้แค่คิดคำรามในใจนะคือมันทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นจริงๆ แต่ในช่วงของวิกฤตนั้นผู้เขียนก็ได้มีโอกาศไปกราบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง (ท่ามกลางเสียงด่าประจานไล่หลังแบบลั่นวัดเลย)
ซึ่งท่านได้ถามผู้เขียนว่า “เห็นกิเลสตัวเองไหม” ผู้เขียนจึงได้กราบเรียนท่านว่า “พอเห็นอยู่ครับ” ท่านก็เมตตาถามต่ออีกเพื่อเช็คดูว่าเราเห็นได้จริงไหมโดยท่านถามว่า “ตัวไหนเกิดบ่อย” ผู้เขียนนึกย้อนดูนิดนึงก็เห็นแต่ตัวเองในแต่ละวันจะมีแต่โทสะ ปฏิฆะกับความคิดฟุ้งซ่านไปว่าเมื่อไหร่จะถึงวันออกพรรษานะ จะได้ไปจากที่นี่เสียทีเพราะใช้ขันติมาก็มากจนขันติจะกลายเป็นขันแตกอยู่แล้ว จึงได้กราบเรียนท่านไปว่า “ปฏิฆะกับความฟุ้งซ่านครับ” ซึ่งท่านก็รับ “ใช่ เห็นได้ถูกแล้ว แต่มันเกิดขึ้นได้ถี่มากเห็นโกรธทุกเรื่องเลย เพราะเราเป็นคนจริงจังนิสัยนี้แก้ยากนะ เวลาคิดปรุงอะไรขึ้นมาก็เอาตัวเองถลำเข้าไปจริงจัง ยิ่งฟุ้งซ่านมากก็จะเป็นเหตุให้มีโทสะมากเพราะมันเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งซึ่งกันและกัน คือมันเลี้ยงกันอยู่ ให้เห็นนะว่าตัวนี้มันกำลังโกรธอยู่ มันไม่ใช่เราคือให้เห็นเหมือนเห็นคนอื่นโกรธ จิตไหลไปคิดให้รู้ทันแต่อย่าปรุงแต่งไปกับมัน ให้รู้ว่าจิตกำลังคิด ไม่ใช่ให้รู้ว่าคิดเรื่องอะไรนะเพราะถ้ารู้ว่าคิดเรื่องอะไรหมาแมวมันก็รู้ได้ว่ามันคิดเรื่องอะไร ต้องให้มาเห็นว่าจิตมันกำลังคิดอยู่ มันไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นคนโทสะจริตก็ดีนะ เพราะโทสะมันเป็นกิเลสที่ดูง่ายถ้าภาวนาเป็นก็จะไปได้เร็ว แต่ถ้าพลาดก็ทำบาปได้มหันต์เหมือนกัน” นี่คือคำพูดสอนของครูบาอาจารย์ท่านนั้นซึ่งผู้เขียนยังจดจำได้เท่าทุกวันนี้ แต่จะไม่ขอเอ่ยนามท่านนะ ผู้เขียนเอาคำพูดนี้มาวิเคราะห์ดูก็ว่า เออ ในความไม่ดีมันก็ยังมีดีซ่อนอยู่นะแต่ปัญหาคือเราจะนำมันออกมาใช้ได้ยังไงนี่สิ พอกลับมาที่สำนักสงฆ์หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จขณะที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันนั้น จ้าวสำนักก็เปิดฉากด่าผู้เขียนขึ้นด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดแบบสุดๆ แล้วลามมาถึงพระรูปอื่นๆที่ไปกราบพระอาจารย์ท่านนั้นกับผู้เขียนแบบไม่ไว้หน้าใคร แต่ผู้เขียนจะโดนหนักที่สุดเพราะตกอยู่ในฐานะเป็นแกนนำ (เฮ้ออ ยังกับอยู่ในม็อบ) ซึ่งแน่นอนทุกคนที่โดนต่างก็ก้มหน้านิ่งด้วยจิตใจที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต้องยอมรับนะว่าเขามีกำลังจิตที่เข้มแข็งมากกว่าทุกคนในสำนัก เมื่อตอนแรกๆที่ผู้เขียนเข้ามาอยู่ตอนนั้นเขากับผู้เขียนยังไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน เขาเคยแสดงฤทธิ์อะไรบางอย่างให้ผู้เขียนดู แต่จะไม่ขอลงในรายละเอียดนะ ผู้เขียนก็ยอมรับว่าเขาทำได้จริง ฉะนั้นเวลาเขาโกรธใครด่าใครพลังของความโกรธมันก็จะมีมากจนเหมือนคล้ายๆกับว่าเราถูกคีมเหล็กอันใหญ่หนีบแล้วตรึงเอาไว้ หมดหนทางที่จะดิ้นรนหลีกหนีเพื่อความเป็นอิสระภาพได้ ยิ่งเขาด่าด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนเราถูกคีมเหล็กอันใหญ่นั้นบีบอัดเรามากขึ้นตามเท่านั้น กว่าเวลาจะผ่านไปได้แต่ละวินาทีมันช่างนานแสนนาน (ไม่ธรรมดานะ นานเป็นแสนๆเลย เฮ้ย กำลังเขียนเรื่องซีเรียสอยู่นะเว้ย มาแทรกเรื่องขำทำไมเนี้ย เสียบรรยากาศหมด) คืนนั้นผู้เขียนเดินกลับกุฏิด้วยจิตใจที่หกคะเมนตีลังกายิ่งกว่าตอนถูกด่าที่วัดเดิมอีก ตอนนั้นมันเป็นช่วงกลางพรรษา ก็เหลือเวลาอีกตั้ง ๔๕ วันกว่าจะออกพรรษา เฮ้ออ ทำไงดี ถ้าจะพูดถึงเรื่องความขัดแย้งกันก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เพราะแค่เขาไม่พอใจที่ผู้เขียนพาพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านนั้นแค่นั้นแหละ บรรยากาศต่อจากนั้นมันดูอึมครึมขมุกขมัว ทั้งพระทั้งชีทั้งโยมคนทำงานในวัดแต่ละคนเหมือนถูกอะไรบางอย่างตรึงสะกดไว้ให้ไม่มีความเป็นอิสระแม้แต่ในความคิด จิตใจก็มีแต่ความหวาดหวั่นหม่นทึบ ผู้เขียนพยายามปลุกปลอบตัวเองให้มีกำลังใจด้วยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิครั้งละนานๆ แล้วถวายป็นพุทธบูชา เวลาที่เจ็บปวดมากๆก็พยายามนึกไปถึงหลักของกรรม ก็อดทนทำอยู่อย่างนี้ทุกวันจนมาถึงวันออกพรรษาจนได้ ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดไว้อย่างลงตัว พอปวารณาเสร็จตอนเช้าก็มีรถของโยมที่มารับพระอีกรูปหนึ่งกลับไปที่บ้าน เพราะลูกชายท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุผู้เขียนจึงได้ขออาศัยออกไปจากที่นี่ด้วย พอฉันท์เช้าเสร็จเก็บของบริขารเสร็จก็รีบเผ่นออกจากที่นั่นแบบไม่เหลียวหลังเลย จากนั้นก็ตระเวนไปหาหมอรักษาตัวอยู่หลายที่ หลายจังหวัดแม้แต่ในกรุงเทพฯก็ได้เข้ามา ผ่านการรักษาทั้งแผนปัจจุบันแผนโบราณรวมๆแล้วก็ยี่สิบกว่าครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาย ยิ่งนานวันเข้าความเจ็บปวดมันก็เพิ่มทวีขึ้น ผู้เขียนก็เพิ่งมารู้ตัวเหมือนกันนะว่าตัวเองมีความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจได้แบบเข้าขั้นดีทีเดียว แต่จะว่าดีก็ไม่เชิงหรอกนะเพราะจริงๆแล้วมันก็จะมีโทสะเจือๆอยู่ตลอด เวลาเจ็บปวดขึ้นมามากๆโทสะก็จะมากขึ้นตาม แต่เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้มั้ง มันเลยกลายเป็นหลังพิงฝา กลับมาอยู่กับความอดทนต่อไป แต่คนที่อยู่ใกล้ๆกับเรานี่สิจะพลอยได้รับผลกระทบจากความหงุดหงิด ปฏิฆะของเราเข้าเรื่อยๆจนกลายเป็นเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ใกล้ ซึ่งก็คือครูบาธีระนั่นเอง เพราะพอออกพรรษารับกฐินเสร็จท่านก็รีบตามมาหาผู้เขียนที่ชลบุรี จากนั้นก็ตระเวนไปด้วยกันทุกๆที่จนล่วงเลยข้ามปีมาถึงเมือเดือนมีนาคมปี ๒๕๕๘ ผู้เขียนกับท่านจึงได้แยกกัน ผู้เขียนเองก็สังเกตุเห็นอาการที่ท่านรำคาญเรามานานระยะนึงแล้ว ก็เข้าใจท่านอยู่นะแต่จังหวะมันยังไม่ลงตัวมันก็เลยตามเลยไปก่อน จนได้กลับมาที่ชลบุรีอีกครั้งคราวนี้ผู้เขียนได้ขอปลีกตัวไปพักอยู่ที่วัดป่าธรรมชาติ อ.บ้านบึง ซึ่งเป็นอีกวัดหนึ่งที่เมื่อตอนยังเป็นฆราวาสผู้เขียนจะมาพักภาวนาอยู่เป็นประจำ ส่วนครูบาธีระท่านเลยไปอยู่ที่ระยองผู้เขียนจึงรู้สึกโล่งโปร่งใจขึ้นมาบ้างเพราะบอกตรงๆว่าเกรงใจท่านมากๆ ที่วัดป่าธรรมชาตินี้เองที่ผู้เขียนได้มาเจอกับลุงหนอมซึ่งเป็นคนบุรีรัมย์เช่นเดียวกับผู้เขียน และเคยรู้จักกันเห็นกันมาหลายครั้งเมื่อยังเป็นฆราวาส เพราะแกมีญาติมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดนี้ แกจึงได้มาที่นี่บ่อยๆ จากการที่ได้คุยกันจึงได้รู้ว่าแกมาพักที่นี่เพื่อมารักษาคนที่โดนอะไรคล้ายๆกับผู้เขียนในตอนนั้นนั่นแหละ แกบอกว่าแถวชลบุรีนี้เล่นของแนวๆนี้กันเยอะมากโดยเฉพาะที่พัทยา ตอนนั้นฟังๆไปก็ยังไม่ค่อยเชื่อหรอกแต่แกพูดท่าทางขึงขังจริงจังมากก็คิดว่า อืมม หรือว่ามันจะมีจริงๆหว่า จำได้ว่าตอนที่เจอกับแกก่อนบวชครั้งล่าสุดแกบ่นๆว่ามีธุระต้องกลับบ้านที่บุรีรัมย์ด่วน แต่ค่ารถไม่พอผู้เขียนเลยช่วยแกไปสองพันบาท จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนผู้เขียนบวชแล้วเหมือนที่เล่ามานั่นแหละจึงได้มาเจอกันอีกที จะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่ใช่ ที่สุดพอเจอกันทักทายปราศัยกันนิดหน่อยแกสังเกตุเห็นอาการของผู้เขียน แกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าโดนอะไรมา จึงได้ชวนกันกลับมารักษาตัวที่บุรีรัมย์ผู้เขียนจึงได้หายเท่าทุกวันนี้ เออ มันก็แปลกดีไปทั่วทุกสารทิศเพิ่งมารู้ว่าหมอดีอยู่ใกล้บ้านเรานี่เอง จนถึงทุกวันนี้นะผู้เขียนก็ยังเป็นคนโทสะแรงไม่มีทีท่าว่าจะหาย อืมม นิสัยนี้มันแก้ยากจริงๆ เวลาอยู่รวมกันกับหมู่คณะผู้เขียนจะคอยระวังมากเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน แต่ก็เหมือนกรรมมันแกล้งนะ เพราะไปไหนก็เจออยู่เรื่อยจนระวังแทบไม่ไหว ยิ่งถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ที่จิตไวๆนะ ผู้เขียนแทบเกร็งเลยเพราะกลัวจิตจะไปปฏิฆะท่าน แต่ก็ไม่วายปฏิฆะอยู่ดี จนผู้เขียนต้องคอยเข้าไปหาแบบฉาบฉวยเอา ถ้าจะให้เข้าไปอยู่คลุกคลีฝั่งตัวอยู่นานๆคงไม่เหมาะกับนิสัยใจคอของผู้เขียนแน่ มันก็คงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยจะตรงจุดนัก แต่คงต้องเป็นแบบนี้ไปพลางก่อนเพราะผู้เขียนรู้ตัวดีว่ากำลังสติปัญญาของผู้เขียนยังไม่พอ อาจพลาดได้สักวันเพราะมันเคยปฏิฆะแรงมากๆ กำลังของโทสะกับกำลังของการกดข่มมันสู้กันอยู่ข้างในจนอกแทบฉีกมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง โอ้ โห ดีนะที่เป็นพระ จริงๆแล้วมันเป็นทุกข์มากๆเลยนะไม่ดีหรอกที่เป็นแบบนี้ จะบอกอะไรตรงๆแบบไม่เคยพูดคำนี้กับใครมาก่อนเลยนะ จุ๊ๆๆๆ เบาๆหน่อย แต่มีข้อแม้นิดนึง คือผู้อ่านต้องรับปากก่อนนะว่า จะไม่เอาไปพูดต่อ เออ สัญญาแล้วนะ “คือผู้เขียนขอบอกตรงๆเลยว่ารำคาญไอ้ตัวนี้เต็มทีแล้ว เบื่อมันมาก โกรธเขาอยู่ได้อย่างกับว่าแกเป็นคนดีนักหนา โง่ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก แกช่วยเลิกโง่ซะทีเถอะว้า เอางี้นะถ้าแกเลิกนิสัยนี้ได้นะ นิพพานัง ปรมังสุขัง เป็นของแกแน่ๆ เพี้ยง” คือผู้เขียนต้องงัดไม้ตายทุกอย่างมาใช้มีทั้งปลอบทั้งขู่ เพราะทำอะไรกับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตาจริงๆผับผ่าสิ เอาหล่ะ ออกนอกเรื่องมามากแล้วขอวกกลับเข้ามาถึงการปุจฉาวิสัชนาธรรมที่บ้านธิกันต่อดีกว่า เดี๋ยวผู้อ่านจะรำคาญเอา หลังจากที่หลวงตาได้เอาหลักของสติปัฏฐานมาพูดอธิบายโดยคร่าวๆว่าให้รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมแล้ว ท่านก็ได้ยกตัวอย่างว่าด้วยเรื่องอายตนะภายในและภายนอกกระทบสัมผัสกัน ก็ให้มารู้ที่ประตูใจพร้อมๆกันไปเลยว่ามันมีความรู้สึกอย่างไร มันปรุงแต่งต่อไปแบบไหน คือให้รู้ในๆๆเข้ามาเรื่อยๆโดยท่านได้ยกเอาคำพูดของหลวงปู่ทา จารุธัมโม มาพูดสำทับว่า “สติตั้งที่ใจ ดูที่ใจ รู้ที่ใจ ละที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ” ทั้ง ๕ อาการนี้ให้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่ารู้จนเป็นอัตตโนมัติ โดยท่านได้ยกตัวอย่างเช่นว่าตามองเห็นสาวสวย ใจมันชอบก็รู้ว่าชอบ มันเอามาปรุงแต่งต่อไปอย่างนั้นอย่างนี้อันเป็นอารมณ์ของราคะก็ให้มารู้ทันเรื่อยๆ สาวสวยนั้นเป็นอายตนะภายนอกคือรูป ตาคืออายตนะภายใน ใจที่เอาผลไปประมวลเปรียบเทียบข้อมูลจนเป็นอารมณ์ของราคะ กิเลส ตัณหานั่นก็คือเป้าหมายที่เราต้องมีสติรู้ให้ทัน ละให้ทันเข้ามาเรื่อยๆ ดั่งวาทะของหลวงปู่ทา จารุธัมโม นั่นเอง ซึ่งมาถึงตรงนี้ครูบาธีระได้พูดแทรกขึ้นมาว่า “เฮ้ย มึงเป็นพระคิดอย่างนี้ได้ไง” (อืมม รู้สึกว่าจะแทรกมาได้ถูกจังหวะดีอยู่เหมือนกัน) หลวงตาท่านก็ได้เสริมขึ้นไปอีกว่า เรามารู้ไอ้ตัวที่มันกำลังด่าว่าเป็นพระอยู่คิดอย่างนี้ได้ไงอีกทีนั่นแหละคือการรู้ในๆๆ รู้ถี่ๆจนเป็นปัจจุบันแบบไม่มีที่สิ้นสุด แต่อย่าไปตัดตอนมันเพราะหลายคนพอเริ่มรู้ได้ถี่ๆแล้วก็จะเลือกเอาฉพาะอารมณ์ที่ดี ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็จะพยายามไม่ให้มันรู้อะไรต่อ แบบนี้ก็จะกลายเป็นคนซื่อบื้อไปเลยเพราะเข้าใจผิดคิดว่าไม่ดีก็จะไม่เอา จะเอาแต่ที่ดีอย่างเดียว ซึ่งคนที่มาหาหลวงตาส่วนมากจะเป็นแบบนี้กันเยอะมาก เวลาส่งการบ้านกับท่านเกือบร้อยละร้อยที่ชอบตัดตอนสภาวะคือไม่ดีไม่เอาจะเอาแต่ดี พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ “รักสุข เกลียดทุกข์” นั่นแหละ ซึ่งในความเป็นความเป็นจริงแล้วมันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะสภาวะทุกอย่างมันจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาปรุงแต่ง เช่นตาเห็นรูปที่สวยงามมันก็ต้องชอบ อันเป็นอารมณ์ของสุขเวทนา เห็นรูปที่ไม่งามมันก็ต้องเกลียดอันเป็นอารมณ์ของทุกขเวทนา เห็นที่ไม่สวยไม่ขี้เหร่มันก็เฉยๆอันเป็นอารมณ์ของอทุกขมสุขเวทนา แต่พอเราไปพยายามตัดอารมณ์ของทุกขเวทนาออกให้เหลือแต่สุขเวทนากับเฉยๆเลยกลายเป็นคนซื่อบื้อไปเลย คือมีบางคนที่มาส่งการบ้านบอกว่าพอทะเลาะกับสามีก็พยายามตัดอารมณ์ขุ่นมัวออก แล้วปรุงแต่งสร้างภพใหม่ขึ้มาเเอาจิตตัวเองเข้าไปอยู่กับความว่างๆ โล่งๆ โปร่งๆ เบาๆ สบายๆทำความรู้สึกบอกตัวเองว่าสามีไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ ว่าเข้าไปนั่น คือแบบนี้มันหลอกตัวเองชัดๆ หรือบางคนก็แก้ปัญหาด้วยการแต่งตัวสวยๆ ออกไปชอ็บปิ้งดูโน่นดูนี่เฮๆฮาๆให้เวลาของความทุกข์มันหมดไปกับความเพลินเพลิน พอกลับเข้าบ้านบรรยากาศแบบเดิมๆมันก็ยังกรุ่นอยู่ แบบนี้มันก็เหมือนเอาขี้เป็ดมาเช็ดขี้ไก่เพราะปัญหาจริงๆมันยังไม่ได้ถูกแก้ ส่วนบางคนก็อาศัยการกดข่มกลบเกลื่อน เก็บกดเอาไว้จนจิตมันระบมชอกช้ำไปหมด แบบนี้มันก็สุดสุดโต่งไปอีกแบบซึ่งประเภทหลังนี้แตะไม่ได้ เพราะแตะแล้วต่อมน้ำตาพังเลย หลวงตาท่านมักจะพูดอยู่บ่อยๆในวีดีโอที่ปล่อยลงในยูทูบหลายๆตอนที่ผ่านมา เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็มี มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่การปฏิบัติ ปฏิบัติผิดจนจิตป่วย และที่แน่ๆตอนที่ 0๕๙ ที่จะเอาลงยูทูบเร็วๆนี้ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะวันนี้เพิ่งอัพโหลดตอนที่ 0๕๘ ลงไป (อะ แฮ่ม ถือโอกาศโฆษณาซะหน่อย) ท่านก็ได้เล่าถึงเรื่องนี้อีก โดยท่านเล่าให้ฟังว่าเห็นผู้มาปฏิบัติธรรมที่วัดบางคน (ผู้หญิง) ใส่ชุดขาวด้วยนะ (เหรอ) ทำเป็นเดินยิ้มไปยิ้มมา ทักคนโน้นคนนี้ ดูภายนอกชั่งเป็นคนมีเมตตามีความสุขมีความโอบอ้อมอารีเสียนี่กระไร แต่ภายในกลับเป็นไปอีกอย่าง พอท่านทักว่าทำไมยิ้มแต่ข้างนอกหล่ะ ข้างในทำไมไม่ยิ้ม แค่นั้นแหละน้ำตาก็พลั่งพรูออกมาปานเขื่อนแตก เฮ้อ นี่แหละคือโทษของการไม่มีสติระลึกรู้เท่าทันสภาวะ ไม่อยู่กับปัจจุบันที่หลวงตาท่านมักเอาวาทะของหลวงปู่มั่นมาพูดอยู่บ่อยๆว่า “รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม” ซึ่งวาทะนี้ผู้เขียนก็ได้นำมาเป็นชื่อของไฟล์วีดีโอที่ได้เอาลงเผยแพร่ในยูทูบแล้วเหมือนกัน (ชัก เริ่มได้ใจโฆษณาถี่ขึ้น) คือหลวงตาท่านจะเน้นที่การรู้ทันสภาวะในๆๆเข้ามาเรื่อยๆอันเป็นปัจจุบันธรรม จนสติ สมาธิ ปัญญามันถูกพัฒนามาจนแก่รอบก็จะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญาที่ท่านมักพูดอยู่บ่อยมากๆว่า “สักแต่ว่ารู้” อันเป็นสุดยอดของการภาวนาขั้นสูงสุดแล้วนั่นเอง มาถึงตรงนี้ครูบาธีระได้พูดเสริมขึ้นว่า “เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว” หลวงตาก็รับว่าใช่ (อืมม คราวนี้กลับมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวได้อย่างเต็มความภาคภูมิอีกครั้ง) แต่ดูเหมือน อ.เชาว์ยังไม่ลงใจอยู่ดีเพราะท่านรีบตัดฉากกลับไปที่อาการมัวๆเบลอๆ ง่วงๆ ซึมๆ ดูสภาวะไม่ได้อะไรของท่านอีก หลวงตาท่านก็เลยรวบยอดสรุปว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะมันยังไม่เป็นธรรมชาติของธาตุรู้ คือยังเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ แล้วก็ตั้งเป้าหมายว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ได้รับฟังมาว่าธรรมชาติของธาตุรู้มันเป็นแบบนี้ สภาวะอาการของความสักแต่ว่ารู้มันต้องเป็นแบบนี้ ก็เลยเกิดมีการกระทำขึ้นเพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ได้ตั้งไว้ สุดท้ายพอไม่ได้ดั่งใจก็เลยทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หดหู่ เซื่องซึม ในทางร่างกายก็เลยพลอยได้รับผลกระทบทำให้ไม่สบายตามไปด้วย พอร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อยจิตใจก็ยิ่งตกต่ำย่ำแย่ลงไปอีก คือมันจะมีผลต่อเนื่องสืบเลี้ยงกันเป็นลูกโซ่อยู่อย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุดได้นั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้สักแต่ว่าตามความเป็นจริงโดยธรรมชาติของธาตุรู้มันจะไม่มีภาระหน้าที่อะไรนอกจาก “รู้” เพราะหน้าที่หรือคุณสมบัติของมันคือ “รู้” เหมือนที่หลวงปู่ทา จารุธัมโม ท่านได้กล่าววาทะเป็นภาษาทางอิสานไว้ว่า “ฮู้ ซือๆ” นั่นเอง เอาหล่ะ ร่ายมาซะยืดยาวน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหลงเหลง เดี๋ยวตอนหน้าค่อยจะมาขยายความของคำว่า “ฮู้ ซือๆ” กัน ใจร่มๆรู้สึกตัวไปด้วยนะ
“สติ โลกัสมิ ชาคโร”
สติเป็นธรรมเครื่องตื่นในโลก
ขอถวายเป็นพุทธบูชา
ธัมมบูชา สังฆบูชา มาตาปิตุบูชาและอาจริยบูชา
ปัญญาวชิโร
ศากยปุตโต ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น