ต่อจากตอนที่แล้วศัพท์คำว่านิพพานนั้น สมเด็จพระญาณสังวรท่านได้อธิบายไว้ว่ามาจากคำ
๒ คำคือ
๑)นิ แปลว่า ไม่มี ,ออก
๒)วานะ หรือ พานะ แปลว่า เครื่องร้อยรัด, เครื่องเสียดแทง
,ลูกศร
ภาษาบาลีนี้จริงๆแล้ว เป็นภาษา "มาคธี" คือภาษาของชาว "มคธ" ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในชมพูทวีปสมัยก่อน เนื่องจากว่าแคว้น "มคธ" เป็นแคว้นใหญ่ที่มีอำนาจมากทั้งด้านการทหารและเศรฐกิจ การเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างแคว้นจึงมีมาก แต่ที่เราเรียกกันว่าภาษา "บาลี" ก็เพราะว่าเป็นภาษาที่ถูกเลือกให้มาใช้รักษาไว้ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้รับเกียรติให้ได้ชื่อว่า "บาลี" คำว่า "บาลี" มาจากคำ
ว่า "ปาละ"หรือ "ปาลิ" แปลว่า "รักษา" แต่คนไทยเราก็มาตัดหาง ป.ปลา ออกจึงกลายเป็นตัว บ.ใบไม้ วุฒิสระ "อิ" มาเป็น "อี" จึงกลายมาเป็น "บาลี" อย่างที่รู้กันในปัจจุบัน คำนี้จึงออกเสียงว่า "นิพพานะ" สันสกฤต "นิรวาน" อังกฤษ "nirvana" ไทยเราก็ออกเสียงว่า นิพพาน เพราะศัพท์หลายๆคำในภาษาบาลีที่ออกเสียงด้วยตัว ว.คนไทยเราก็มักจะเอามาแปลงเป็นตัว พ.เช่น ปฐวี เป็น ปฐพี วัฒนา เป็น พัฒนา เป็นต้น และคำว่านิพพานนั้นจริงๆแล้วยังมีอีกหลายความหมายเช่นแปลว่า ดับเย็น ก็ได้ ซึ่งในอินเดียสมัยโบราณเขาก็ใช้กันทั่วไปเช่นไฟดับก็เรียกไฟ นิพพาน ข้าวต้มร้อนๆตอนนี้เย็นลงรับประทานได้แล้วเขาก็เรียกว่าข้าวต้ม นิพพาน เป็นต้น ในพรหมชาละสูตร (ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงทิฏฐิ ๖๒ มีอยู่ทิฏฐิหนึ่งชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน คือนิพพานในปัจจุบัน อันเป็นปรวาทะของพวกสมณพรามณ์เจ้าลัทธิเหล่าอื่นๆ ได้บัญญัติขึ้น มีแบ่งออกแยกย่อยได้ ๕ ประการคือ
ว่า "ปาละ"หรือ "ปาลิ" แปลว่า "รักษา" แต่คนไทยเราก็มาตัดหาง ป.ปลา ออกจึงกลายเป็นตัว บ.ใบไม้ วุฒิสระ "อิ" มาเป็น "อี" จึงกลายมาเป็น "บาลี" อย่างที่รู้กันในปัจจุบัน คำนี้จึงออกเสียงว่า "นิพพานะ" สันสกฤต "นิรวาน" อังกฤษ "nirvana" ไทยเราก็ออกเสียงว่า นิพพาน เพราะศัพท์หลายๆคำในภาษาบาลีที่ออกเสียงด้วยตัว ว.คนไทยเราก็มักจะเอามาแปลงเป็นตัว พ.เช่น ปฐวี เป็น ปฐพี วัฒนา เป็น พัฒนา เป็นต้น และคำว่านิพพานนั้นจริงๆแล้วยังมีอีกหลายความหมายเช่นแปลว่า ดับเย็น ก็ได้ ซึ่งในอินเดียสมัยโบราณเขาก็ใช้กันทั่วไปเช่นไฟดับก็เรียกไฟ นิพพาน ข้าวต้มร้อนๆตอนนี้เย็นลงรับประทานได้แล้วเขาก็เรียกว่าข้าวต้ม นิพพาน เป็นต้น ในพรหมชาละสูตร (ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงทิฏฐิ ๖๒ มีอยู่ทิฏฐิหนึ่งชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน คือนิพพานในปัจจุบัน อันเป็นปรวาทะของพวกสมณพรามณ์เจ้าลัทธิเหล่าอื่นๆ ได้บัญญัติขึ้น มีแบ่งออกแยกย่อยได้ ๕ ประการคือ
๑) อัตตาที่ได้รับการบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ให้เอิบอิ่มคือการบรรลุ นิพพาน
๒) การได้ปฐมฌานคือการบรรลุ
นิพพาน
๓) การได้ทุติยฌานคือการบรรลุ นิพพาน
๔) การได้ตติยฌานคือการบรรลุ นิพพาน
๕)
การได้จตุตถฌานคือการบรรลุ นิพพาน
ในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะกลับจากการสรงสนานที่สระโบกขรณี นางขัตติยะราชกัญญาองค์หนึ่งแห่งกรุงกบิลพัสดุ์
พระนามว่า กีสาโคตรมี ได้ขับบทกลอนชมเจ้าชายว่า
นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูนโส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ"
ก็คงจะแปลได้ว่า "ผู้ใดได้เป็นพระราชมารดาและพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ
ขัตติยะนารีใดได้เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ" ประมาณนี้
นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูนโส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ"
ก็คงจะแปลได้ว่า "ผู้ใดได้เป็นพระราชมารดาและพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ
ขัตติยะนารีใดได้เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ" ประมาณนี้
ก็จะเห็นได้ว่าคำว่า นิพพาน นั้นเป็นคำธรรมดาๆพื้นๆที่ใช้กันดาษดื่นอยู่ก่อนแล้วในชมพูทวีป จนพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงนำคำนี้มาใช้เหมือนกัน เพียงแต่ความหมายของคำนั้นต่างจากที่ชนเหล่าอื่นใช้กันมาก่อน การเรียกชื่อสภาวะ นิพพาน ที่เป็นสมมุติบัญญัตินั้นพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้มากมาย ซึ่งในเมืองไทยเรานี้ก็ได้มีพระมหาเถระนามอุโฆษท่านหนึ่ง คือท่านพุทธทาส อินทปัญโญ ส่วนตัวของผู้เขียนถือว่าท่านคือ เอกอุแห่งอรรถกถาจารย์ ซึ่งบางทีโลกนี้ต้องรอคอยอีกเป็นร้อยเป็นพันปี จึงจะมียอดอัจฉริยะบุคคลผู้เกิดมาเพื่อเป็นตำนานอย่างนี้อีกสักครั้ง เพราะท่านเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องแห่งยุคที่ครบเครื่องทั้งปริยัติและปฏิบัติ แห่ง โมกขพลาราม คือ (สวนป่า)อารามอันเป็นกำลังสู่ความหลุดพ้น แห่งเมืองไชยานั่นเอง ซึ่งท่านได้รวบรวมคำที่เป็นไวพจน์ของคำว่านิพพานไว้ได้มากถึง ๓๒ คำคือ อสังขตะ/อนตะ/อนาสวะ/สัจจะ/ปาระ/นิปุณะ/สุทุททสะ/อชัชชระ/ธุวะ/อปโลกินะ/อนิทัสสนะ/นิปปัญจะ/สันตะ/อมตะ/ปณีตะ/สิวะ/เขมะ/ตัณหักขยะ/อัจฉริยะ/อัพภุตะ/อนีติกะ/อนีติกธัมมะ/อัพยาปัชฌะ/วิราคะ/สุทธิ/มุตติ/อนาลยะ/ทีปะ/เลณะ/สรณะ/ปรายนะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ยังมีอีกเป็นร้อยๆคำ แต่จะไม่ขอนำเอามาลงไว้เพราะจะกลายเป็นฟุ่มเฟือยไป ส่วนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของบ้านเราอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเรียกว่า ฐีติจิต หรือ ฐีติภูตัง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เรียก จิตหนึ่ง หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรียก ใจ สมเด็จพระญาณสังวรเรียก วิญญาณธาตุ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ เรียก ธรรมธาตุ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช และหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย เรียกเหมือนกันตามคุณสมบัติว่า ธาตุรู้ ในหนังสือสูตรของ เว่ยหล่าง ที่ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ แปลก็แปลว่า จิตเดิมแท้ และที่แปลจากภาษาจีนไปเป็นภาษาอังกฤษก็แปลว่า Escence of mind ในหนังสือ ฮวงโป ก็เรียกว่า พุทธะบ้าง จิตหนึ่งบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่เพียงเพื่อต้องการให้ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจได้ตรงกันว่า กำลังพูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เท่านั้น ในหลายๆพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอธิบายถึงสภาวะของนิพพานไว้ เช่นใน เกวัฏฏะสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงไว้ว่า
"สิ่ง สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่ ในสิ่งนั้นแหละ ดิน น้ำ
ลม ไฟ ไม่หยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก
ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ
นาม รูป ย่อมดับสนิทไม่เศษเหลือ นาม รูป ดับสนิทในสิ่งนี้
เพราะความดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล (บาลี.ที.๙/๒๘๓/๓๔๘-๓๕o)
จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ก็ทรงใช้คำว่า “สิ่ง” สิ่งหนึ่ง” ซึ่งดูว่าคงเหมาะสมกับสภาวะมากที่สุด เหมือนกับที่ตอนพระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ และอีกหลายๆท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สิ่งที่ท่านเหล่านั้นเข้าไปประจักษ์แจ้งในตอนนั้น มันเกินที่จะหาสมมุติบัญญัติมารองรับได้ ท่านจึงใช้คำว่า
ยํ
กิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ
นิโรธธมฺมนฺติ
“สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง มีความดับไปเป็นธรรมดา”
พระโสดาบันท่านเห็นสิ่งที่เกิด
และดับ ต่างจากพระอรหันต์ที่เห็นสิ่งไม่เกิด และไม่ดับ เพราะพระอรหันต์คือผู้ที่ประจักษ์แจ้ง
นิพพาน ตลอดกาลแล้ว แต่พระโสดาบันยังไม่ทำ นิพพานให้แจ้ง
แต่ได้ประจักษ์เพียงชั่วแว๊บหนึ่งเท่านั้น จึงได้ชื่อว่า ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน
ซึ่งหลวงตาได้พูดถึงสภาวะนี้กับผู้เขียนเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ไว้ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา” ก็คือ “การรู้ สักแต่ว่ารู้” คือ “ไม่มีทั้งผู้เข้าไปรู้
และไม่มีทั้งสิ่งที่ถูกรู้ “ ตรงนี้ฟังแล้วอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย
เพราะโดยปกติคนเราจะรู้อะไรได้ก็โดยอาศัยการคิดตาม แต่สภาวะนี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการคิด
ท่านจึงใช้คำว่า ”รู้ได้ด้วยการประจักษ์แจ้ง”
เพราะฉะนั้นความรู้ที่เกิดจากการคิดจึงเป็นเพียงความรู้ในระดับสมอง
แต่การประจักษ์แจ้งนั้นสัมผัสได้ด้วย “ใจ” ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเคยนั่งฟังหลวงตาท่านอธิบายถึงคำว่า
“จิต” กับ “ใจ” ให้โยมหลายคนฟังจำได้ว่าอยู่ที่ ที่พักสงฆ์ชั่วคราวหลักสี่ ว่า
“จิตคือผู้นึก ผู้คิด ผู้ปรุง ผู้แต่ง
ส่วนใจคือผู้รู้อาการที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาทั้งหมด
แต่ใจไม่มีตัวตนหรือเครื่องมืออะไรที่จะช่วยให้จิตดีหรือไม่ดีได้ จิตมันคิดอะไรขึ้นมาแล้วเกิด
ปิ๊ง ใจมันก็รู้เฉยๆ จิตมันคิดอะไรขึ้นมาแล้วเกิด มึนงง ทึบตื้อ
ใจมันก็ได้แต่รู้เฉยๆ จิตกับใจ จึงทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้”
พออธิบายจบแล้วท่านจึงถามโยมว่า “เข้าใจมั้ย” ส่วนมากก็จะส่ายหน้ากันเกินกว่าครึ่ง
ซึ่งเมื่อก่อนผู้เขียนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าอะไรคือจิต
อะไรคือใจ ดีว่าได้เคยอ่านใน อัสสตวตาสูตร ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วน
สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า
"วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือน
วานร เมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมจับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น
จับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่จับเดิม เหนียวกิ่งอื่น เช่นนี้เรื่อย
ๆ ไป, ข้อนี้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า
"วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น
ดวงอื่นดับ ไป ตลอดวัน ตลอดคืน ฉบับบภาษาไทย (นิทาน.
สํ. ๑๖/๙๓/๒๓๑-๒๓๔)
ซึ่งก็หมายความว่า
“จิต” “มโนหรือใจ” “วิญญาณ” ทั้งหมดนี้คือสิ่งเดียวกัน
แต่ที่มีการบัญญัติชื่อไว้หลากหลายให้ต่างกันนั้น
ก็เพราะว่าเพื่อให้ได้เรียกชื่อได้ถูกต้องตามหน้าที่ที่ต่างกันของมัน
ว่ามันทำงานต่างกันอย่างนี้ จึงเรียกชื่อมันว่าอย่างนี้ เช่นสิ่งที่ทำหน้าที่
“รู้” ทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ท่านเรียกว่า “วิญญาณ” สิ่งที่รับทราบและนำมาประมวลผลจากทวารทั้ง
๖ นั้นท่านเรียกว่า “มโนหรือใจ” สิ่งที่นำผลไปปรุงแต่งต่อท่านเรียกว่า “จิต”
ซึ่งมันก็คือสิ่งเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
และเกิดดับสืบเนื่องกันเป็นสันตติไม่ขาดสายทั้งวันทั้งคืนนั่นเอง
แม้แต่ยามที่เราหลับมันก็ยังเกิดดับสืบเนื่องกันอยู่ไม่ขาดสายที่เรียกกันว่า
“จิตเข้าภวังค์” พอเข้าภวังค์เพียงพอแล้วมันก็ออกมาปรุงแต่งต่อแม้ร่างกายจะหลับอยู่ก็ตาม
ซึ่งครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า “ตื่นอยู่มันก็คิด หลับอยู่มันก็คิด”
ซึ่งการคิดในตอนหลับเราเรียกกันว่า “ความฝัน” นั่นเอง แต่ถึงยังไงผู้เขียนก็ขอยอมรับว่ามันยังเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากๆ
เพราะการเกิดดับของจิตนั้นรวดเร็วมาก แม้แต่พระพุทธองค์ยังบอกว่า
“ยากที่หาอะไรมาเปรียบได้” บางตำราก็บอกว่าในชั่วลัดนิ้วมือเดียวจิตมีการเกิดดับถึง
“แสนโกฏิขณะ” ( แสนโกฏิ=ล้านล้าน สิบ สิบหนเป็นร้อย/ สิบร้อยเป็นพัน/ สิบพันเป็นหมื่น/
สิบหมื่นเป็นแสน/ ร้อยแสนเป็นโกฏิ/ ๑โกฏิ=สิบล้าน/ แสนโกฏิ=ล้านล้าน)
ยังไงก็ตามมันก็ยังเป็นเรื่องไกลตัวอยู่
การบัญญัติชื่อสิ่งนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น
ภูริทัตโต ท่านก็เรียกว่า “ผู้รู้” ซึ่งเป็นการเรียกตรงตามคุณสมบัติของมันนั่นเอง
แต่ทั้ง จิต มโน วิญญาณ และผู้รู้ ทั้งหมดนั้นคือสิ่งเดียวกันที่เกิดดับสืบเนื่องกันในขันธ์
๕ ส่วนคำว่า “ใจ” ที่หลวงตาพูดถึงนั้นท่านไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เกิดดับในขันธ์ ๕
แต่หมายถึงใจที่เป็น “ธาตุรู้” ต่างหาก ญาติโยมจึงได้แต่ งงๆกันเพราะแยกแยะไม่ถูกเอง
ร่ายมาซะยืดยาวกลับมาต่อจากที่ท่านดร.อธิบายให้ อ.เชาว์ฟังต่อซึ่งดูเหมือนท่านจะยังมีคำถาม
หลวงตาจึงได้อธิบายต่ออีกแบบยืดยาวหลายนาที พอจะจับใจความได้ว่า ให้ตามรู้
ตามดูไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคิดไปในโลกหรือทางธรรม
ทุกสภาวะมีค่าเท่ากันเมื่อเรารู้ได้ถี่ๆจนเข้าไปจนถึงต้นจิต ถึงตรงนี้ท่านได้เอาคำพูดของหลวงปู่มั่นที่ว่า
“รู้ต้นจิต จิตต้นพ้นโหยหวล” มาใช้อธิบายคือ
เมื่อสติเราเร็วขึ้นแค่จิตขยับจะคิดนิดเดียวก็รู้เท่าทัน สติมีกำลังแรงกล้าจนจิตเกิดเป็นผู้รู้เด่นดวงขึ้น
แล้วก็มาหลงรักษาจิตตรงนี้ไว้จนกิเลสตัณหาไม่มีโอกาศโงหัวขึ้นมาได้ ซึ่งตรงนี้ท่านได้บอกว่า มันก็เป็นความหลงไปอีกแบบหนึ่ง
คือหลงไป “บล็อก” เอาไว้จนเข้าใจว่าตัวเองสิ้นกิเลสแล้ว แต่ในความเป็นจริง ตัวเองกลับไม่เห็นตัวเองที่หลงเข้าไปรักษาจิตผู้รู้นั้นไว้
มันจึงกลายไปเป็นกิเลสเสียเอง ซึ่งตรงนี้ท่านบอกว่ามันทุกข์มากเลย
ประโยคต่อมาเล่นเอาผู้เขียนถึงกับสะดุ้งโหย่งไปเหมือนกัน
เพราะท่านได้เอ่ยชื่อผู้เขียนแล้วเอาสภาวะที่ผู้เขียนเป็นอยู่มาอธิบายให้แก่หมู่คณะฟัง
ซึ่งท่านจะว่ายังไงก็คอยติดตามกันตอนหน้านะ
(ขออย่าได้นำบทความนี้ไปเปรียบเทียบอันจะเป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งกันขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคนๆหนึ่ง
ที่ได้แชร์ประสพการณ์เพื่อเป็นธรรมทานเท่านั้น)
พุทธ ธัมมะ สังฆะคารวะตา
ปัพพชิตา
ปัญญาวชิโร ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น