วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑

พระธาตุดอยเวียง อ.บ้านธิ จ.ลำพูน

“เนื่องในโอกาสที่ผู้เขียนได้อุปสมบทครบ๒ปีในวันนี้(๒๒กุมภาพันธ์๒๕๕๗)และจากการที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์(ปกติผู้เขียนจะเรียกท่านตามความรู้สึกที่มีต่อท่านว่าหลวงพ่อ)ไปตามที่ต่างๆเพื่อบันทึกเสียงเทศนาธรรมของท่านและนำออกเผยแพร่ในหลายๆช่องทาง ก็นับได้๒เดือนเศษจนวันนี้ก็ได้มาพักอยู่ที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นที่ของท่านตู่หรือที่หมู่คณะจะเรียกท่านว่าพระดร. ซึ่งท่านก็มีความตั้งใจที่จะทำให้เป็นวัดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาสืบต่อไป ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาในกุศลจิตอันประกอบไปด้วยศรัทธาที่ท่านมีพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จากการที่ได้ติดตามหลวงตามาระยะหนึ่งผู้เขียนก็มีโอกาศได้ฟังธรรมทั้งสดๆและแห้งๆ ของท่านมามากพอสมควร (ฟังแห้งๆคือผู้เขียนต้องเอาเสียงที่ท่านเทศสอนที่บันทึกไว้มาฟังอีกหลายๆรอบเพื่อตัดให้เหมาะสมก่อนนำออกเผยแพร่) ก็พอจะ
สรุปสั้นๆได้ว่าท่านจะพูดถึงสภาวธรรมที่เป็นปฏิปักข์กันคนละฝั่ง๒อย่างคือ
๑ระบบสังขตะธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็คือขันธ์๕หรือรูปนามทั้งหมดนั่นเอง ซึ่งมีคุณลักษณะเป็นกฎตายตัวอยู่๓อย่างคือ
๑)อุปฺปาโท ปญฺญายติ) มีความเกิดขึ้นปรากฏ
 ๒)วโย ปญฺญายติ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ
๓)ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ  เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
  ๒ระบบอสังขตะธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ก็คือนิพพานนั่นเองและมีคุณลักษณะตรงกันข้ามทั้ง๓ประการคือ
๑)นอุปฺปาโท ปญฺญายติ ไม่มีการเกิดปรากฏ
 ๒)นวโย ปญฺญายติ ไม่มีความเสื่อมปรากฏ
 ๓)นฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงปรากฏ
                                             (อํ.ติกฺ ๒o/๑๔๔/๔๘๖-๔๘๗)
 เท่าที่ผู้เขียนสังเกตได้ไม่ว่าท่านจะเริ่มพูดถึงเรื่องอะไรก็ช่างแต่สุดท้ายจะมาลงที่ความไม่มีตัวเรา ของของเรา และตัวตนของเรา มีแต่ความว่างที่เป็น”ธาตุรู้”ซึ่งธาตุที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นวัตถุอะไรที่มีตัวตน แต่เป็นคุณสมบัติของสิ่งๆหนึ่งที่มีหน้าที่รู้ ส่วนวิธีการที่จะเข้าไปประจักษ์แจ้งได้นั้นไม่มีรูปแบบตายตัว ไม่ค่อยอิงตำราคือให้เราพัฒนาสติ สมาธิและปัญญารู้แบบซื่อๆลงไปในปัจจุบันตามที่รูปและนามหรือขันธ์๕มันเป็นด้วยความเป็นกลาง คือรู้เท่าทันทุกกิริยาอาการที่ขันธ์๕ปรุงแต่งขึ้นพลิกจากหลงให้เป็นรู้ รู้ถี่ๆรู้เข้าไปเรื่อยๆจนหดเข้าไปถึงต้นจิตจนถึงขั้นที่ว่าแค่จิตมีการกระเพื่อมเพียงเล็กน้อยหรือจิตมีอาการขยับตัวนิดๆที่ท่านหลวงมหาบัวใช้คำว่า”การภาวนาพอถึงขั้นละเอียดก็จะเห็นแต่ยิบแย็บๆเท่านั้นแหละ” มาถึงตรงนี้ก็ให้รู้เท่าทันด้วยความเป็นกลางคือรู้สักแต่ว่ารู้ ซึ่งทางอภิธรรมจะใช้คำว่า”สํขารุเปกฺขาญาณ”คือมีความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงของรูปนามด้วยปัญญา
                (สัง=พร้อม ขะระหรือกะระ=การกระทำ อุเบกขา=ความเป็นกลาง ญาณ=ปรีชา,หยั่งรู้)
 ถ้าภาวนามาถึงตรงนี้แล้วก็เรียกว่ามายืนอยู่จรดประตูอริยมรรคแล้ว เพราะเมื่อมันเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาอาการทั้งหลาย จิตที่พัฒนามาถึงตรงนี้ก็พร้อมที่จะสัมผัสกับพระนิพพาน คือจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้วผ่านกระบวนการแห่งอริยมรรคที่เรียกว่ามัคคสมังคี จะเรียกว่าเป็นการผลักประตูเข้าไปสู่การประจักษ์แจ้งต่อนิพพานก็ได้ ซึ่งขบวนการทั้งหมดนี้หลวงตาท่านสรุปว่า เป็นหน้าที่ของขันธ์๕ที่ต้องพัฒนาสติ สมาธิและปัญญาเพื่อปล่อยวางตัวมันเอง ซึ่งท่านมักเปรียบขันธ์๕เป็นเหมือนเรือหรือแพที่ใช้อาศัยข้ามฝั่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วคงไม่มีใครแบกเรือหรือแพเดินขึ้นฝั่งไปด้วยเป็นแน่แท้ ผู้เขียนสังเกตุดูญาติโยมที่มาหาท่านส่วนมากก็มักมีคำถามคล้ายๆกันว่า”ทำอย่างไร”ผม”หรือ”ดิฉัน”จะเข้าไปถึงความว่างนั้นได้” ซึ่งท่านก็จะสวนกลับทันทีว่า”เดี๋ยวๆที่เราพูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้มีตัวเรา ของของเรา ตัวตนของเรา แล้วนี่ยังจะเอาตัวเราไปเป็นอะไรกับความว่างอีกหล่ะ อย่างนี้มันกลับด้านกันแล้วเราบอกนิพพานอยู่ทิศเหนือพอเริ่มเดินก็ลงไปทิศใต้เสียแล้วอย่างนี้จะเจอนิพพานได้ยังไง” พอเจอคำนี้เข้าส่วนมากก็จะยิ่งงงกันไปใหญ่อีก คือธรรมของท่านเป็นประเภทจิตสู่จิตถ้าฟังแล้วมัวแต่คิดมากก็จะไม่สามารถรับธรรมนั้นได้ ถูกแล้วเพราะสิ่งที่ท่านพยายามจะชี้ให้เห็นนั้นก็คือ”นิพพานที่นี่ เดียวนี่”นั่นเอง ผู้เขียนเคยนั่งสนทนาธรรมกับท่านที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูนเมื่อวันที่๖กุมภาพันธ์๒๕๕๙ที่ผ่านมา(ซึ่งผู้เขียนได้นำเสียงที่บันทึกไว้มาทำเป็นวีดีโอลงเผยแพร่ในyoutubeชื่อว่าปุจฉา วิสัชนาธรรม ตอนยิ่งหาก็ยิ่งตัน เพราะตัณหา ทำเป็น๒ตอนเผยแพร่เมื่อวันที่๑๙-oกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) ท่านได้ปรารภให้ฟังว่าผู้คนที่มาฟังธรรมมาถามปัญหาความสงสัยกับท่านนั้น ที่ได้รับประโยชน์ก็มี ที่ไม่ได้รับประโยชน์เลยก็มี ที่หนักกว่านั้นคือติดลบกลับไปเลยก็มี เพราะแต่ละคนต่างก็สะสมสุตมยปัญญาคือการได้ยินได้ฟังมาไม่เหมือนกัน เมื่อสุตมยปัญญาต่างกันจินตามยปัญญาคือการนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาตรึกตรอง ค้นคว้าพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลจนตกผลึกจึงต่างกัน ยิ่งเมื่อจะนำไปต่อยอดเป็นภาวนามยปัญญาคือการอบรมจิต เจริญภาวนาจนประสพความสำเร็จเป็นมรรคผล ตามบันได๓ขั้นคือปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธก็ยิ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง ผู้เขียนจึงได้พูดกับท่านว่า ธรรมของท่านเป็นประเภทจิตสู่จิต ผู้ที่พอจะรับได้ต้องมีปัญญาในระดับหนึ่ง เปรียบเหมือนหลวงพ่อ(ผู้เขียนจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อ)เป็นคนเลี้ยงโค โคบางประเภทหลวงพ่อก็ปล่อยให้มันออกไปหากินด้วยตัวมันเองหลวงพ่อแค่คอยดูอยู่ห่างๆ ถ้ามีตัวไหนสะเปะสะปะออกนอกลู่นอกทางก็ค่อยไปไล่ต้อนให้มันกลับมาอยู่ในทางก็พอ โคบางประเภทออกหากินไม่เป็นเพราะต้องรอให้จูงจมูกอย่างเดียว ประเภทนี้ก็จะไม่ค่อยได้รับประโยชน์ ซึ่งท่านยังได้เสริมขึ้นอีกว่าท่านไม่ใช่คนเลี้ยงโคประเภทชอบจูงจมูก และยังบอกอีกว่าท่านเป็นแค่ผู้บอกทางให้กับคนหลงทาง(แม้แต่พระพุทธเจ้าเองพระองค์ก็เปรียบตัวท่านเป็นเช่นนี้เหมือนกัน) และยังมีโคอีกประเภทหนึ่งที่มีความพยศลำพองซึ่งโคประเภทนี้ต้องฆ่าทิ้งอย่างเดียวเลี้ยงไม่ได้ (การฆ่าทิ้งในพระธรรมวินัยคือการไม่สอนนั่นเอง) โคประเภทนี้ก็เปรียบเหมือนคนที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตาสูงนั่นเอง เวลามาฟังท่านก็มักจะตั้งทิฏฐิของตัวเองเอาไว้ก่อน พอสิ่งที่ได้ฟังไม่ตรงกับที่ตัวเองตั้งไว้ใจก็จะไม่ลงให้ทิฏฐิ มานะ อัตตาเลยกลายเป็นสิ่งขวางกั้นตัวเองเอาไว้ นอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์อันใดแล้ว ยังติดลบกลับไปอีกซึ่งท่านได้ปรารภว่าก็น่าสงสารไปอีกแบบหนึ่ง แต่ก็มีอยู่เหมือนกันที่ท่านหักล้างคนที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตาสูงๆได้ (ท่ามกลางการลุ้นแบบใจหายใจคว่ำของกองเชียร์ที่นั่งฟังอยู่ในเหตุการณ์) และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่ผู้เขียนเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียน”บันทึกธรรมที่ลำพูน”ขึ้นมาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เพราะมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับคนที่มีวิทยะฐานะต่ำๆอย่างผู้เขียนที่มีโอกาศได้เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่๖เท่านั้น แถมต้องใช้เวลาเรียนถึง๗ปีเพราะต้องเรียนซ้ำอยู่ชั้นปีที่๓ถึง๒ปีจึงจบมาได้ เอาหล่ะ!ไหนๆก็ตั้งใจจะทำแล้วก็ลองดูกันสักตั้งก็แล้วกัน    
(ขออย่าได้นำบทความนี้ไปเปรียบเทียบอันจะเป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งกันขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคนๆหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้เขียนมีความรู้น้อยมากๆ แต่ก็จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้)          
                                          ด้วยความเคารพ                                                        
                               ปญฺญาวชิโร ศากยะปุตโต ๒๒กุมภาพันธ์๒๕๕๙   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น