![]() |
พระธาตุดอยเวียง อ.บ้านธิ จ.ลำพูน |
“เนื่องในโอกาสที่ผู้เขียนได้อุปสมบทครบ๒ปีในวันนี้(๒๒กุมภาพันธ์๒๕๕๗)และจากการที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์(ปกติผู้เขียนจะเรียกท่านตามความรู้สึกที่มีต่อท่านว่าหลวงพ่อ)ไปตามที่ต่างๆเพื่อบันทึกเสียงเทศนาธรรมของท่านและนำออกเผยแพร่ในหลายๆช่องทาง
ก็นับได้๒เดือนเศษจนวันนี้ก็ได้มาพักอยู่ที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน
ซึ่งเป็นที่ของท่านตู่หรือที่หมู่คณะจะเรียกท่านว่าพระดร. ซึ่งท่านก็มีความตั้งใจที่จะทำให้เป็นวัดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาสืบต่อไป
ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาในกุศลจิตอันประกอบไปด้วยศรัทธาที่ท่านมีพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
จากการที่ได้ติดตามหลวงตามาระยะหนึ่งผู้เขียนก็มีโอกาศได้ฟังธรรมทั้งสดๆและแห้งๆ
ของท่านมามากพอสมควร
(ฟังแห้งๆคือผู้เขียนต้องเอาเสียงที่ท่านเทศสอนที่บันทึกไว้มาฟังอีกหลายๆรอบเพื่อตัดให้เหมาะสมก่อนนำออกเผยแพร่)
ก็พอจะ
สรุปสั้นๆได้ว่าท่านจะพูดถึงสภาวธรรมที่เป็นปฏิปักข์กันคนละฝั่ง๒อย่างคือ
สรุปสั้นๆได้ว่าท่านจะพูดถึงสภาวธรรมที่เป็นปฏิปักข์กันคนละฝั่ง๒อย่างคือ
๑ระบบสังขตะธรรม
ซึ่งเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็คือขันธ์๕หรือรูปนามทั้งหมดนั่นเอง
ซึ่งมีคุณลักษณะเป็นกฎตายตัวอยู่๓อย่างคือ
๑)อุปฺปาโท ปญฺญายติ) มีความเกิดขึ้นปรากฏ
๒)วโย
ปญฺญายติ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ
๓)ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
๒ระบบอสังขตะธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ก็คือนิพพานนั่นเองและมีคุณลักษณะตรงกันข้ามทั้ง๓ประการคือ
๑)นอุปฺปาโท ปญฺญายติ ไม่มีการเกิดปรากฏ
๒)นวโย
ปญฺญายติ ไม่มีความเสื่อมปรากฏ
๓)นฐิตสฺส
อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงปรากฏ
(อํ.ติกฺ ๒o/๑๔๔/๔๘๖-๔๘๗)
เท่าที่ผู้เขียนสังเกตได้ไม่ว่าท่านจะเริ่มพูดถึงเรื่องอะไรก็ช่างแต่สุดท้ายจะมาลงที่ความไม่มีตัวเรา
ของของเรา และตัวตนของเรา มีแต่ความว่างที่เป็น”ธาตุรู้”ซึ่งธาตุที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นวัตถุอะไรที่มีตัวตน
แต่เป็นคุณสมบัติของสิ่งๆหนึ่งที่มีหน้าที่รู้
ส่วนวิธีการที่จะเข้าไปประจักษ์แจ้งได้นั้นไม่มีรูปแบบตายตัว ไม่ค่อยอิงตำราคือให้เราพัฒนาสติ
สมาธิและปัญญารู้แบบซื่อๆลงไปในปัจจุบันตามที่รูปและนามหรือขันธ์๕มันเป็นด้วยความเป็นกลาง
คือรู้เท่าทันทุกกิริยาอาการที่ขันธ์๕ปรุงแต่งขึ้นพลิกจากหลงให้เป็นรู้ รู้ถี่ๆรู้เข้าไปเรื่อยๆจนหดเข้าไปถึงต้นจิตจนถึงขั้นที่ว่าแค่จิตมีการกระเพื่อมเพียงเล็กน้อยหรือจิตมีอาการขยับตัวนิดๆที่ท่านหลวงมหาบัวใช้คำว่า”การภาวนาพอถึงขั้นละเอียดก็จะเห็นแต่ยิบแย็บๆเท่านั้นแหละ”
มาถึงตรงนี้ก็ให้รู้เท่าทันด้วยความเป็นกลางคือรู้สักแต่ว่ารู้
ซึ่งทางอภิธรรมจะใช้คำว่า”สํขารุเปกฺขาญาณ”คือมีความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงของรูปนามด้วยปัญญา
(สัง=พร้อม ขะระหรือกะระ=การกระทำ
อุเบกขา=ความเป็นกลาง ญาณ=ปรีชา,หยั่งรู้)
ถ้าภาวนามาถึงตรงนี้แล้วก็เรียกว่ามายืนอยู่จรดประตูอริยมรรคแล้ว เพราะเมื่อมันเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรน
หมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาอาการทั้งหลาย
จิตที่พัฒนามาถึงตรงนี้ก็พร้อมที่จะสัมผัสกับพระนิพพาน
คือจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้วผ่านกระบวนการแห่งอริยมรรคที่เรียกว่ามัคคสมังคี
จะเรียกว่าเป็นการผลักประตูเข้าไปสู่การประจักษ์แจ้งต่อนิพพานก็ได้ ซึ่งขบวนการทั้งหมดนี้หลวงตาท่านสรุปว่า
เป็นหน้าที่ของขันธ์๕ที่ต้องพัฒนาสติ สมาธิและปัญญาเพื่อปล่อยวางตัวมันเอง
ซึ่งท่านมักเปรียบขันธ์๕เป็นเหมือนเรือหรือแพที่ใช้อาศัยข้ามฝั่ง
เมื่อถึงฝั่งแล้วคงไม่มีใครแบกเรือหรือแพเดินขึ้นฝั่งไปด้วยเป็นแน่แท้ ผู้เขียนสังเกตุดูญาติโยมที่มาหาท่านส่วนมากก็มักมีคำถามคล้ายๆกันว่า”ทำอย่างไร”ผม”หรือ”ดิฉัน”จะเข้าไปถึงความว่างนั้นได้”
ซึ่งท่านก็จะสวนกลับทันทีว่า”เดี๋ยวๆที่เราพูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้มีตัวเรา
ของของเรา ตัวตนของเรา แล้วนี่ยังจะเอาตัวเราไปเป็นอะไรกับความว่างอีกหล่ะ
อย่างนี้มันกลับด้านกันแล้วเราบอกนิพพานอยู่ทิศเหนือพอเริ่มเดินก็ลงไปทิศใต้เสียแล้วอย่างนี้จะเจอนิพพานได้ยังไง”
พอเจอคำนี้เข้าส่วนมากก็จะยิ่งงงกันไปใหญ่อีก คือธรรมของท่านเป็นประเภทจิตสู่จิตถ้าฟังแล้วมัวแต่คิดมากก็จะไม่สามารถรับธรรมนั้นได้
ถูกแล้วเพราะสิ่งที่ท่านพยายามจะชี้ให้เห็นนั้นก็คือ”นิพพานที่นี่
เดียวนี่”นั่นเอง ผู้เขียนเคยนั่งสนทนาธรรมกับท่านที่
ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูนเมื่อวันที่๖กุมภาพันธ์๒๕๕๙ที่ผ่านมา(ซึ่งผู้เขียนได้นำเสียงที่บันทึกไว้มาทำเป็นวีดีโอลงเผยแพร่ในyoutubeชื่อว่าปุจฉา วิสัชนาธรรม ตอนยิ่งหาก็ยิ่งตัน เพราะตัณหา ทำเป็น๒ตอนเผยแพร่เมื่อวันที่๑๙-๒oกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) ท่านได้ปรารภให้ฟังว่าผู้คนที่มาฟังธรรมมาถามปัญหาความสงสัยกับท่านนั้น
ที่ได้รับประโยชน์ก็มี ที่ไม่ได้รับประโยชน์เลยก็มี ที่หนักกว่านั้นคือติดลบกลับไปเลยก็มี
เพราะแต่ละคนต่างก็สะสมสุตมยปัญญาคือการได้ยินได้ฟังมาไม่เหมือนกัน
เมื่อสุตมยปัญญาต่างกันจินตามยปัญญาคือการนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาตรึกตรอง
ค้นคว้าพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลจนตกผลึกจึงต่างกัน ยิ่งเมื่อจะนำไปต่อยอดเป็นภาวนามยปัญญาคือการอบรมจิต
เจริญภาวนาจนประสพความสำเร็จเป็นมรรคผล ตามบันได๓ขั้นคือปริยัติ
ปฏิบัติและปฏิเวธก็ยิ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง ผู้เขียนจึงได้พูดกับท่านว่า
ธรรมของท่านเป็นประเภทจิตสู่จิต ผู้ที่พอจะรับได้ต้องมีปัญญาในระดับหนึ่ง
เปรียบเหมือนหลวงพ่อ(ผู้เขียนจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อ)เป็นคนเลี้ยงโค โคบางประเภทหลวงพ่อก็ปล่อยให้มันออกไปหากินด้วยตัวมันเองหลวงพ่อแค่คอยดูอยู่ห่างๆ
ถ้ามีตัวไหนสะเปะสะปะออกนอกลู่นอกทางก็ค่อยไปไล่ต้อนให้มันกลับมาอยู่ในทางก็พอ
โคบางประเภทออกหากินไม่เป็นเพราะต้องรอให้จูงจมูกอย่างเดียว
ประเภทนี้ก็จะไม่ค่อยได้รับประโยชน์
ซึ่งท่านยังได้เสริมขึ้นอีกว่าท่านไม่ใช่คนเลี้ยงโคประเภทชอบจูงจมูก
และยังบอกอีกว่าท่านเป็นแค่ผู้บอกทางให้กับคนหลงทาง(แม้แต่พระพุทธเจ้าเองพระองค์ก็เปรียบตัวท่านเป็นเช่นนี้เหมือนกัน)
และยังมีโคอีกประเภทหนึ่งที่มีความพยศลำพองซึ่งโคประเภทนี้ต้องฆ่าทิ้งอย่างเดียวเลี้ยงไม่ได้
(การฆ่าทิ้งในพระธรรมวินัยคือการไม่สอนนั่นเอง)
โคประเภทนี้ก็เปรียบเหมือนคนที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตาสูงนั่นเอง
เวลามาฟังท่านก็มักจะตั้งทิฏฐิของตัวเองเอาไว้ก่อน
พอสิ่งที่ได้ฟังไม่ตรงกับที่ตัวเองตั้งไว้ใจก็จะไม่ลงให้ทิฏฐิ มานะ
อัตตาเลยกลายเป็นสิ่งขวางกั้นตัวเองเอาไว้ นอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์อันใดแล้ว
ยังติดลบกลับไปอีกซึ่งท่านได้ปรารภว่าก็น่าสงสารไปอีกแบบหนึ่ง แต่ก็มีอยู่เหมือนกันที่ท่านหักล้างคนที่มีทิฏฐิ
มานะ อัตตาสูงๆได้ (ท่ามกลางการลุ้นแบบใจหายใจคว่ำของกองเชียร์ที่นั่งฟังอยู่ในเหตุการณ์)
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่ผู้เขียนเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียน”บันทึกธรรมที่ลำพูน”ขึ้นมาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย
เพราะมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับคนที่มีวิทยะฐานะต่ำๆอย่างผู้เขียนที่มีโอกาศได้เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่๖เท่านั้น
แถมต้องใช้เวลาเรียนถึง๗ปีเพราะต้องเรียนซ้ำอยู่ชั้นปีที่๓ถึง๒ปีจึงจบมาได้
เอาหล่ะ!ไหนๆก็ตั้งใจจะทำแล้วก็ลองดูกันสักตั้งก็แล้วกัน
(ขออย่าได้นำบทความนี้ไปเปรียบเทียบอันจะเป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งกันขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคนๆหนึ่งเท่านั้น
เพราะผู้เขียนมีความรู้น้อยมากๆ แต่ก็จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้)
ด้วยความเคารพ
ปญฺญาวชิโร ศากยะปุตโต ๒๒กุมภาพันธ์๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น