วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๕(ตอนสุดท้าย)


ก็ห่างหายไปจากการเขียนข้อความไปร่วมปีเนื่องจากหลายๆสาเหตุ ซึ่งล้วนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจำเป็นทั้งนั้น จนทำให้ไม่มีเวลาเขียนต่อประกอบกับไม่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์มาร่วมปีแล้วด้วย ช่วงนี้ก็เคลียปัญหาต่างๆไปได้บ้างก็เลยตั้งใจจะกลับมาเขียนต่อและตัดสินใจว่าจะสรุปให้จบในตอนนี้เลย

  ในช่วงที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์ไปแสดงธรรม ณ ที่ต่างในระหว่างปลายปี ๒๕๕๘-ต้นปี ๒๕๕๙ นั้น ผู้เขียนได้ทำเป็นคลิปวีดีโอและอัฟโหลดลงยูทูบช่อง panyawachiro sakyaputto ไว้ประมาณ ๑๓๑ คลิป และได้ทำไฟล์เสียงในรูปแบบ mp3 และไฟล์บีบอัดแบบ .rar ลงไว้ในเวบไซต์ https://sites.google.com/site/dhammawachira/ และได้ทำต้นฉบับเพื่อทำเป็นแผ่น cd โดยได้ร่วมงานกับโยมเหลิม โยมเติ้ล และโยมจูน โดยทำออกมาเป็น cd ๓แผ่นดั่งที่ได้ทำแจกไปแล้ว ส่วนการทำคลิปวีดีโอลงยูทูบกับการทำเวบไซต์นั้น ยอมรับว่าลุยเองคนเดียวแบบมั่วๆ เพราะไม่เคยมีประสพการณ์มาก่อน ทีแรกกะจะทำเป็นแอฟปลิเคชั่นลงในเพลย์สโตร์ ให้ดาวว์โหลดลงมือถือไว้ฟังอีกทางหนึ่ง แต่พอดีหมดสภาพก่อนเพราะช่วงนั้นทุ่มเทกำลังสมองในการทำงานเผยแผ่ธรรมะหนักมาก ประกอบกับโยมพ่อและโยมแม่ก็เจ็บป่วยต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เลยต้องกลับมาอยู่วัดใกล้บ้าน งานทุกอย่างเลยต้องหยุดลงแค่นั้น จนเพิ่งพอมีเวลามาสานต่อนี่แหละ



  ในไฟล์เสียงธรรมของหลวงตาที่ได้เผยแผ่ไปนั้นเกือบทั้งหมด จะเป็นการแสดงธรรมแบบปุจฉา วิสัชนากับญาติโยม จะมีก็ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า"กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการคือทั้งหมดของพรหมจรรย์"ซึ่งได้แบ่งออกเป็นสองตอนนี้แหละที่หลวงตาได้ปุจฉา วิสัชนากับพระล้วนๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่ลำพูนมีพระร่วมวงสนทนาธรรมกันอยู่ ๕ รูปคือหลวงตาณรงค์ศักดิ์ พระอาจารย์เชาว์ ครูบาธีระ ผู้เขียน และพระดร.ตู่(ในตอนนั้น) ก็เลยเป็นที่มาให้ผู้เขียนเกิดไอเดียอยากเขียนบทความ"บันทึกธรรมที่ลำพูน"นี้ขึ้นมา ส่วนในตอนที่ใช้ชื่อว่า"ยิ่งหาก็ยิ่งตัน เพราะตัณหา"ที่มีสองตอนเหมือนกันนั้น ทีแรกก็มีแต่ผู้เขียนนั่งสนทนาธรรมกันอยู่กับหลวงตาเพียงลำพัง แต่ในช่วงหลังก็มีโยมโอเข้ามาร่วมแจมด้วย

  ว่ากันโดยสรุปเนื้อหาที่คุยกันในวันนั้น เริ่มจากการพูดถึงผลสูงสุดอันเกิดจากการการภาวนาในทางพระพุทธศาสนาก่อน จากนั้นก็ค่อยมีการถามตอบว่าจะให้ภาวนาจนได้รับผลนั้นได้ด้วยวิธีใด หรืออาจเรียกได้ว่าจากสูงสุดสู่สามัญก็ไม่ผิด ซึ่งหลวงตาท่านก็ได้ตอบทุกคำถามทุกแง่มุมที่มีผู้ถาม แน่นอนว่าทุกอักขระทุกพยัญชนะที่ทุกคนได้ยินนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าแต่ละคนต่างก็มีความเข้าใจที่เหลื่อมล้ำกันตามกำลังของสติปัญญาของแต่ละคน

  ถ้าใครที่เคยอ่านหนังสูตรของเว่ยหล่างหรือฮวงโปมาก่อนก็อาจพอมองแนวทางออกบ้าง แต่โดยตามความเป็นจริงแล้วการที่เอาเรื่องนิพพานมาพูดกันเพื่อให้ทุกคนเกิดความเข้าใจ หรือพูดตามภาษาที่ชาวโลกทั่วไปเขาใช้กันคือ"ให้เห็นภาพ"ได้นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะนิพพานไม่สามารถเอาขันธ์ห้าเข้าไปประจักษ์แจ้งได้ และนิพพานไม่มีการเข้าการออก ไม่มีนอกมีในด้วย อ้าว! แล้วกัน

  ไม่รู้หล่ะผู้เขียนก็ได้ยินได้ฟัง ได้รับการยืนยันจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาแบบนี้ และจากพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์ทรงก็ได้ตรัสไว้แบบนี้ ดังในตอนแรกๆที่ผู้เขียนได้ยกมาให้อ่านกันพอสังเขปไปแล้วนั่นแหละ

  แต่หลวงตาท่านก็ได้เน้นย้ำให้ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอบรม หรือฟังธรรมะจากท่านเองและพ่อแม่ครูบาอาจารย์อื่นๆก็ดีนั้น ให้เอามานึกน้อมไว้ในใจกระทำไว้ในใจโดยแยบคายอย่างต่อเนื่อง ที่เรียกว่า"โยนิโสมนสิการ" ตามระดับบันไดสามขั้นคือ สุตตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา หรือปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวทนั่นเอง

  ส่วนเครื่องมือที่จะเอามาใช้ในการภาวนานั้นก็ได้แก่"โพธิปักขิยธรรม๓๗ประการ"คือธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้คือ
  ๑) สติปัฏฐาน๔
  ๒) สัมมัปปธาน๔
  ๓) อิทธิบาท๔
  ๔) อินทรีย์๕
  ๕) พละ๕
  ๖) โพชฌงค์๗
  ๗) มรรคมีองค์๘
ถ้าจะให้ผู้เขียนสรุปแบบสั้นๆก็คือ"ศึกษาหลักการให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยลงมือปฏิบัติ" หลักการอันเดียวกันแต่วิธีอาจแตกต่างกันตามจริตนิสัย ที่สำคัญหาผู้รู้ให้เจอก่อนแล้วค่อยทิ้งทีหลัง

  ผู้ที่ตั้งคำถามมากสุดในวันนั้นคือครูบาธีระ ซึ่งบางคำถามก็ถามได้ดีมากๆ แต่บางคำถามก็ดูจืดๆ ซึ่งผู้เขียนก็ได้เขียนแซวท่านไว้ในตอนก่อนๆมาพอสนุกๆ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นบทความธรรมะที่เครียดเกินไป แต่ถ้าเล่นมากไปก็จะเกินพอดีอีก ส่วนชื่อตอนก็ได้มาคำที่ท่านพูดสรุปในการสนทนาว่า"กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการคือทั้งหมดของพรหมจรรย์" (อืมม กลับมาพระเอกได้อย่างเต็มความภาคภูมิเลยทีเดียว) ซึ่งคำนี้ก็เป็นพุทธวจนะมีให้เห็นในพระไตรปิฎกไม่ใช่คำที่เพิ่งมีมาใหม่

  ส่วนใครจะเป็นกัลยาณมิตรนั้น อันนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง ถ้าเป็นยุคพุทธกาลก็แน่นอนหล่ะว่าอันดับหนึ่งก็คือ"พระพุทธเจ้า" รองลงมาก็พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสปะไล่มาเรื่อยๆ ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ผู้เขียนเชื่อว่ายังมีอยู่แน่นอน โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรานี้ถือว่าโชคดีที่สุดที่ยังมีผู้สืบทอดคำสอน ทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติจนเกิดมรรคผลตั้งแต่ชั้นต้นๆถึงขั้นสูงสุดทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ฆราวาสที่ครองเรือนอยู่ก็ยังสามารถปฏิบัติจนเกิดมรรคผลชั้นต้นๆได้ก็ยังมีอยู่

  อย่าลืมว่าในบทสวดสังฆคุณพระพุทธเจ้าท่านจัดพระอริยะบุคคลแปดจำพวกเอาไว้นั้น ท่านใช้คำว่า"สาวกสังโฆ" ไม่ได้ใช้คำว่า"ภิกขุสังโฆ" คือไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสถ้าฟังคำสั่งสอนของท่านแล้วเอามาปฏิบัติตามจนเกิดมรรคผลนั้น ก็ย่อมได้ชื่อว่า"สาวกสังโฆ"ด้วยกันทั้งนั้น

  ผู้เขียนเคยมีประสพการณ์กับคำว่า"กัลยาณมิตร"ที่อยากจะเอามาเล่าให้ฟังสักนิดหน่อย คือผู้เขียนเคยไปปฏิบัติธรรมอยู่กับบุคคลกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้เขาจะเน้นเรื่องการเข้าฌาน คือจะรวมกลุ่มกันนั่งสมาธิครั้งละนานๆ ผู้เขียนไปปฏิบัติได้ ๗ วันเขาก็บอกว่าได้โลกุตตรฌานหนึ่งแล้ว คือพูดง่ายๆว่าแต่งตั้งให้เป็นพระโสดาบันว่างั้นเถอะ ตอนนั้นกิเลสผู้เขียนก็เคลิ้มไปกับเขาเหมือนกัน แต่ลึกๆแล้วไม่เชื่อหรอก พออยู่มาได้เดือนหนึ่งก็บอกว่าได้ขั้นสองแล้ว โอ้โห สงสัยจะจบกิจเป็นพระอรหันต์ภายในเจ็ดเดือนแน่เลยเรา ชะรอยจะเป็น"สุขขาปฏิปทาขิปปาภิญญา"

  แต่! ไม่เชื่อหรอก เพราะเราย่อมรู้ตัวของเราเองดี แต่ผู้เขียนยอมรับบุคคลที่อยู่ในกลุ่มนี้อยู่สามคน ว่าเขามีความสามารถในการใช้พลังจิตของเขามาหนุนนำให้ผู้ร่วมภาวนาทำให้จิตสงบได้อย่างคาดไม่ถึงเลยที่เดียว แน่นอนว่าการเข้าฌานสมาธิมันจึงมีการพัฒนามาเป็นลำดับ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรับไม่ได้คือบุคคลกลุ่มนี้เขาต่างก็เชื่อมั่นและรับรองกันและกัน และกล้าที่จะบอกกับผู้เขียนว่าพวกเขา"จบกิจ"กันหมดแล้ว ผู้เขียนดูหน้าพระอรหันต์แต่ละองค์แล้วก็ เฮ้ออ "กัมมุนา วัตตตีโลโก" สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ผู้เขียนก็ถือหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ให้ไว้คือ ถ้ามีใครมาบอกว่าเขาจบกิจเป็นพระอรหันต์แล้ว เราอย่าเพิ่งคัดค้าน และอย่าเพิ่งอนุโมทนา ให้ค่อยๆสังเกตุไปก่อน

  ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่จริงๆมันมีมานานแล้ว จัดเข้าใน"ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ๕"คือ
  ๑) สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะว่า เพราะเหตุที่อัตตานี้อิ่มเอิบ พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ๕ จึงชื่อว่าเป็นอันบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม
  ๒) สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวกับพวกแรกว่ากามคุณเป็นของไม่เที่ยง ผันแปรเป็นธรรมดา เพราะเหตุที่อัตตานี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ จึงชื่อว่าเป็นอันบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม
  ๓) สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวกับพวกนั้นว่าปฐมฌานเป็นของหยาบเพราะยังมีวิตกวิจารณ์อยู่ เพราะเหตุที่วิตก วิจารสงบไป อัตตานี้จึงบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่ จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม
  ๔) สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวกับพวกนั้นว่าทุติยฌานเป็นของหยาบเพราะมีปีติเป็นเหตุให้ใจเบิกบานอยู่นั้น บัณฑิตกล่าวว่ายังหยาบอยู่ เพราะเหตุที่ปีติจางคลายไป อัตตานี้จึงมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม
  ๕) สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวกับพวกนั้นว่าตติยฌานที่จิตยังคำนึงถึงสุขอยู่นั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นของหยาบ เพราะเหตุที่ละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อน อัตตานี้จึงบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธ์  จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม

   สรุปคือแต่ละพวกต่างก็บัญญัตินิพพานด้วยเหตุ ๕ อย่างนั้น ตามทิฏฐิของตนๆไป ซึ่ง"ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ"นี้เป็นหนึ่งในทิฏฐิ ๖๒ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน"พรหมชาลสูตร"ซึ่งเป็นพระสูตรแรกในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ที่ว่าด้วยข่ายแห่งพระสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ครอบคลุมฟ้าดินปราบปรวาทะของทุกศาสนาทุกลัทธิที่เคยมีมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและที่จะมีในในอนาคตลงได้อย่างราบคาบ เพราะไม่ว่าจะมีกี่ลัทธิกี่คำสอนยังไงก็จะไม่เกินไปจากทิฏฐิ๖๒นี้ไปได้ เว้นแต่ศาสนาพุทธของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันเท่านั้น "พรหม"หมายถึงความประเสริฐ "ชาละ"หมายถึงตาข่าย ส่วนรายละเอียดในเรื่องนี้ผู้เขียนจะไม่ขอนำมาลง เพราะเดี๋ยวจะบานทะโล่ไม่อาจจะเขียนให้จบลงได้ภายในตอนนี้  (โห! เข้าใจเอาตัวรอดนะ)

  เพราะฉะนั้น"กัลยาณมิตร"จึงมีความสำคัญมากๆ จึงต้องพิจารณากันให้ดีๆก่อนเดี๋ยวจะเจอ"ปาปมิตร"ในคราบผู้ดีเข้าให้ ส่วน"โยนิโสมนสิการ"ก็มีสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเมื่อเราได้รับคำสั่งสอนมาจากกัลยาณมิตรแล้ว เราต้องปฏิบัติเอาเองจึงจะประสพผลสำเร็จได้ กัลยาณมิตรจึงเปรียบเหมือนผู่้ชี้ทาง โยนิโสมนสิการจึงเปรียบเหมือนการที่ต้องเดินทางด้วยตัวเราจึงจะถึงจุดหมายได้ ถ้าเรามีทั้งกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการเองด้วย อันนี้ดีเลิศเลย แต่ถ้าห่างกัลยาณมิตร โยนิโสมนสิการจะมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ฉะนั้นแล

  ก็คงจะขอจบลงแบบห้วนๆอย่างนี้แหละนะ เพราะห่างจากการเขียนไปนานรู้สึกไม่ค่อยไหลลื่นเท่าไหร่ แต่ก็ตั้งใจอยู่ว่าจะเขียนไปอีกเรื่อยๆ แต่คงเป็นตอนสั้นๆกะว่าจะหยิบเอาบางประเด็นที่น่าสนใจในพระสูตรต่างๆมาวิเคราะห์ให้ผู้สนใจติดตามอ่านกันต่อไป ตามกำลังสติปัญญาที่พอจะมีนี้แหละ ก็จะลองดูนะ

  สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย ที่ได้ช่วยแนะแนวทางในการปฏิบัติ ได้ให้มีโอกาศได้ยินได้ฟังธรรมะที่ลึกซึ้งด้วยอรรถะและพยัญชนะ งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อันมีความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงเป็นปริโยสาร ขอขอบคุณครูบาธีระ ยตินธโร ที่ได้ถวายอุปกรณ์ในการทำธรรมะของหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย ลงในยูทูบ เวบไซต์และจัดทำเป็นแผ่นซีดีได้เป็นผลสำเร็จดั่งที่ผู้เขียนได้ตั้งใจไว้แต่แรก และครูบาออดที่ได้ช่วยกันคัดเลือกธรรมะของหลวงตามาเผยแผ่ รวมทั้งญาติโยมทุกๆท่านที่ได้มีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน

 "สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พะลัง เอตัสมิง ระตะนัตตะยัสมิง สัมปะสาทะนะเจตะโส"
"ขอผลแห่งจิตอันเลื่อมใสในพระรัตนตรัยนี้ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผล สำเร็จเทอญ"

                                                            ปัญญาวชิโร ศากยะปุตโต
                                                                   17\04\2560




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น