วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑o




ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่บอกไว้ว่าจะมาขยายความหมายของคำว่า "ฮู้ ซือๆ" ซึ่งเป็นคำพูดของภาษาอิสานขนานแท้และดั้งเดิมกัน หรือจะเรียกว่าภาษา "ลาว" ก็ได้เหมือนกัน อืมม ไหนๆก็ได้อารัมภบทถึงที่มาของภาษาแล้ว งั้นเราก็มาดูความหมายของคำว่า "ลาว" กันก่อนสักหน่อยดีกว่า คำว่าลาวนี้ผู้เขียนเคยทราบมาว่าความหมายเหมือนกันกับคำว่าไท ที่หมายถึงไม่ใช่ทาส ไทตรงข้ามกับทาส ลาวตรงข้ามแหล่ง คำว่า "แหล่ง" กับคำว่า "ทาส" จึงมีความหมายเหมือนกัน ในภาษาเขมรที่ใช้พูดกันอยู่ในแถบบุรีรัมย์สุรินทร์ ตอนสมัยเด็กๆผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่คือผู้ที่ตัวโตกว่าจะเรียกผู้ที่เด็กกว่าว่า "อะแร่ง" คำว่า "อะ" แปลว่า "ไอ้" คำว่า "แร่ง" แปลว่าลูกน้องลูกสมุนหรือทาส ซึ่งผู้ที่ถูกเรียกก็มักไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเองตัวเล็กกว่ากำลังน้อยกว่าสู้กันไม่ได้จึงต้องจำยอม ก็เป็นอันว่าชื่อของประเทศไทยกับประเทศลาวความหมายเหมือนกันเด๊ะเลย คือ "มีความเป็นใหญ่ในตัวเอง" ซึ่งก็ถือเป็นการสืบทอดความหมายที่มีมาแต่เดิม เพราะชื่อเก่าของประเทศไทยเรานั้นชื่อว่า "สยาม" คำว่าสยามนี้ก็มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ถ้าออกเสียงแบบบาลีก็จะออกเสียงว่า "สยัง" ถ้าออกเสียงแบบสันสกฤตก็ "สยัม" หมายถึง ผู้เป็นเอง/ผู้มีความเป็นใหญ่ในตัวเองอะไรประมาณนี้ (เป็นความรู้ความเห็นส่วนตัวนะ)

   เอาหล่ะกลับมาที่คำว่า "ฮู้ ซือๆ" กันอีกครั้ง คำนี้และโดยความหมายนี้ ผู้เขียนเคยได้ยินมานานระยะหนึ่งซึ่งถือเป็นวาทะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างน้อยก็สองท่านที่พูดไว้เหมือนกันคือ

                                                      หลวงปู่ทา จารุธัมโม


                                             
                                               และหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ 




   คำว่า "ฮู้" นี่คงไม่ต้องอะไรกันมาก เพราะแค่เปลี่ยนการออกเสียงจากตัว ฮ.นกฮูก มาเป็นตัว ร.เรือก็เป็นอันว่าจบได้ความหมายตรงกันเป๊ะเลย ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่คำว่า "ซือๆ" นี้ต่างหากหล่ะ สมัยเด็กๆผู้เขียนชอบดูหนังจีนประเภทกำลังภายในมาก เพราะตอนนั้นเฉินหลงกำลังดัง (อ้าว เกี่ยวอะไรกับซือ ซือ หล่ะ) เกี่ยวสิเพราะมีหลายเรื่องเลยที่นางเอกชื่อ ซือ ซือ เกี่่ยวอะไรกับภาษาอิสาน ก็ไม่เกี่ยวหรอกเพียงแต่การออกเสียงมันเหมือนกันเด๊ะเลย แต่ความหมายกลับห่างไกลกันเป็นหมื่นๆลี้เลยทีเดียว เพราะ ซือ ในภาษาจีนแปลว่าความสุข ถ้า ซือ ซือ ก็ความสุขและแพรไหม หรือ บทกวีแห่งความสุข แล้วไต้ซือหล่ะ เจ้าอาวาส กุนซือหล่ะ ที่ปรึกษา มั่วหรือเปล่า(เออ เริ่มมั่วแระ)
   มาว่ากันต่อตรงนี้ดีกว่า ในภาษาอิสานคำว่า "ซือ" ก็เอาไปใช้ได้ในหลายๆความหมาย เช่นแปลว่า "ตรง" ก็ได้ เช่นถ้าภาษาไทยพูดว่า "ต้นยางต้นนี้ลำต้นสูงและตรงงามมาก" ชาวอิสานจะใช้คำว่า "ต้นยางต้นนี้ลำต้น "ซือ" ยาวอาดหลาดงามคักขนาน" ถ้าพูดซ้ำสองครั้งคือ "ซือ ซือ" จะแปลว่า "เฉยๆ" เช่นภาษาอิสานพูดว่า "ข่อยคึดฮอดเจ้าอยู่ แต่บ่อยากไปหาซือ ซือ" ก็แปลได้ว่า "ผมคิดถึงคุณอยู่นะ แต่ไม่อยากไปหาเฉยๆ" (เอ มันยังไงชอบกลอยู่นะ คิดถึงแล้วกลับไม่ไปหา)
   เพราะฉะนั้นในความหมายของคำว่า "ฮู้ ซือๆ" ในที่นี้จึงแปลว่า รู้เฉยๆ ซือๆ ก็คือ เฉยๆ อืมม แต่ยังงงๆอยู่ใช่มั้ยว่าทำไมรู้แล้วต้องเฉย ตรงนี้ผู้เขียนก็ยอมรับว่าต้องใช้จินตนาการมาสรรสร้างเพื่อหาคำมาอธิบายมากอยู่เหมือนกัน เพราะเรากำลังพูดถึงสภาวะของ "นิพพาน" อยู่หน่ะสิ ในตอนก่อนๆก็ได้เคยบอกไว้แล้วว่าขนาดพระพุทธเจ้าบางครั้งที่พระองค์กล่าวถึงสภาวะนี้พระองค์ก็ยังต้องใช้คำว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" มาเป็นศัพท์สมมุติบัญญัติ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจให้ได้ หลวงตาเองท่านก็เคยพูดอยู่บ่อยๆว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะเอาสภาวะของวิมุติ มาพูดในระบบของสมมุติให้คนที่ฟังเข้าใจได้ เพราะต้องเอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนมาพูดภายใต้คำสมมุติบัญญัติ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่อาจหลีกเลี่ยงความมีตัวตนในคำพูดไปได้ เช่นที่หลวงตาเวลาที่ท่านอธิบายสภาวะนี้ท่านมักจะใช้คำว่า "เราคือธาตุรู้ที่ไม่มีอะไรเลย เพราะเราคือความว่าง ขันธ์ห้ามันก็ปรุงแต่งเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของมัน ส่วนเราก็ได้แต่รู้" เห็นไหมหล่ะว่ามีคำว่าเราอยู่ตั้งสามคำ พอมีคำว่าเราปุ๊บ ความเข้าใจผิดของผู้ฟังก็ตามมาปั๊บทันทีเหมือนกัน บางคนถึงขนาดสร้างตัวเองไปเป็นความว่างที่ลอยเท้งเต้งอยู่นอกโลกเหมือนดาวเทียม แล้วมองลงมาเห็นตัวเองที่เป็นอีกตัวหนึ่งเดินต็อกๆอยู่บนเปลือกโลกข้างล่าง แล้วบอกว่านี่แหละคือขันธ์ห้ากับธาตุรู้หล่ะ(อืมม ชั่งทำได้ลงคอ) หลวงตาท่านก็เลยได้แต่อึกอักๆเหมือนมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก เพราะถ้าไม่ใช้คำว่าเรามันก็ไม่รู้จะใช้คำไหนอีกแล้ว และอีกคำที่ท่านพูดอยู่บ่อยๆคือ "สักแต่ว่า" ซึ่งคำนี้ก็มาจาก "พาหิยะสูตร" ที่อยู่ในโพธิวรรค ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ ถือเป็นพระสูตรที่เรืองนามมากครูบาอาจารย์หลายๆท่าน เวลาแสดงธรรมก็มักจะมีการกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลวงตาท่านจะพูดถึงพระพาหิยะบ่อยมากๆ โดยพระสูตรนี้พระพุทธองค์ทรงได้ตรัสกับท่านพระพาหิยะทารุจีริยะ ด้วยคำสั้นๆไม่กี่คำแต่ท่านพระพาหิยะทารุจีริยะกลับสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในทันทีที่ฟังจบเลย จนพระพุทธองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเอตทัคคะด้านขิปปาภิญญา คือบรรลุเร็วนั่นเอง เอาหล่ะผู้เขียนขอยกเอาพระสูตรนี้ที่เป็นท่อนไฮไลทั้งภาษาบาลีและที่แปลเป็นไทยมาให้อ่านกันเลยนะ
   " ยโต โข เต พาหิย ทิฏฺทิฏฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ สุเต สุตมตฺตํ ภวิสฺสติ วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตํ ภวิสฺสติ ตโต ตฺวํ พาหิย นตฺถิ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวตฺถิ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ นหุรํ น อุภยมนฺตเร เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺสาติ อถ โข พาหิยสฺส ทารุจีริยสฺส ภควโต อิมาย สงฺขิตฺตาย ธมฺมเทสนาย ตาวเทว อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิ" 
"ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มีในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยะทารุจีริยะกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง"
   เอาหล่ะตอนนี้พวกเราทุกคนต่างก็ได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้งเหมือนท่านพาหิยะในทุกๆถ้อยคำแล้วนะ แล้วเป็นไงกันบ้างหล่ะ บรรลุอะไรมั้ย (หึ ถามได้)  ธรรมอันเดียวกันก็จริงนะ แต่...ผลที่ได้รับกลับต่างกันราวฟ้ากับดินเลยใช่มั้ย พวกเราก็อย่าไปอิจฉาท่านเลยนะ เพราะกว่าท่านจะบรรลุง่ายท่านก็เคยยากชนิดเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้วในครั้งสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกอย่างท่านก็ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อตำแหน่งนี้ตั้งแต่ยุคสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า "พระปทุมุตตระ" ซึ่งก็นับถอยหลังไปได้แสนกัปป์ล่วงมาแล้วนั่นเอง คำว่า "สักแต่ว่า" นี้เอาเข้าจริงๆมันก็ยังเป็นที่เข้าใจได้ยากไม่แพ้กัน เพราะโดยความหมายของคำนี้หลวงตาท่านได้เคยอธิบายไว้บอกว่า "สักแต่ว่ารู้" นี้คือจะต้องไม่มีทั้งผู้เข้าไปรู้และไม่มีทั้งผู้เข้าไปยึดสิ่งที่ถูกรู้ (อืมม มันยังงงๆอยู่มั้ย) งั้นลองกลับไปเทียบเคียงกับคำว่า "ฮู้ ซือ ซือ" ดูอีกทีสิอาจทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนะ เพราะฮู้ ซือ ซือหรือรู้เฉยๆ คำนี้ความหมายมันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาให้รู้ ก็รู้ไปสิ มันตั้งอยู่ ก็รู้ว่ามันตั้งอยู่ มันดับไป ก็รู้ว่ามันดับไป เราไม่ได้มีหน้าที่หรือมีเครื่องมืออะไรที่จะไปจัดการให้มันเป็นอย่างอื่นนอกจากรู้ รู้แล้วก็ผ่านเลยไป (โดยไม่มีตัวตนเป็นผู้ผ่านเลย) เป็นปัจจุบันๆโดยไม่มีการกระทำใดๆเกิดขึ้น เพราะถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะเป็นการรู้ที่ไม่ซือ ซือหรือเฉยๆในทันที เพราะนิพพานเป็นวิสังขารคือไม่มีการกระทำหรือปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังมีการกระทำหรือปรุงแต่งจากเหตุปัจจัยอยู่ก็ไม่ใช่นิพพาน พูดให้เข้าใจง่ายๆขึ้นอีกก็คือเราไม่สามารถรู้แจ้งหรือเข้าใจได้ด้วยการคิดเอา แต่สามารถรู้ประจักษ์แจ้งได้ด้วยใจ เอ๊ะ ยังไง ก็ปล่อยวางความคิดปรุงแต่งที่มีการพยายามหาเหตุ หาผลทั้งหมดทั้งมวลเพื่อจะรู้ให้ได้ว่านิพพานเป็นยังไงนั่นแหละจึงจะประจักษ์แจ้งได้ เพราะอาการที่คิดนั่นแหละคือตัวสังขาร เป็นตัวการใหญ่ที่คอยขัดขวางบดบังนิพพานเอาไว้นั่นเอง เหมือนอมตะธรรมที่ หลวงปู่ดูลย์ อตุโลท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า




 "ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง" (อืมม คัมภีรา คัมภีรา ช่างลึ้งซึ้งจนน่าหวาดกลัวจริงๆ) 
   เอาหล่ะทีนี้ก็มาว่ากันต่อถึงบทปุจฉา วิสัชนาธรรมกันต่อ หลังจากที่หลวงตาท่านได้อธิบายร่ายยาวถึงสภาวะที่ว่า "สักแต่ว่ารู้" ในหลายๆแง่มุมจนมาสรุปลงที่คำว่า "มันเป็นธรรมชาติธาตุรู้ มันจึงไม่มีความสิ้นสุดที่จะรู้เพราะมันเป็นคุณสมบัติที่มีในตัวของมันเอง มันจึงไม่มีการเหนื่อยการเบลอ ที่ท่านเหนื่อยท่านเบลอ(หมายถึงอ.เชาว์) เพราะท่านเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ซึ่งมันเป็นการเข้าใจผิดกลับข้างกันคนละด้าน" ดูเหมือน อ.เชาว์ท่านก็ยังไม่ลงใจอยู่อีก จึงมีคำถามว่า "อาการที่นานๆจะรู้ได้สักครั้งนี้ก็เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย" หลวงตาจึงตอบว่า "อันนี้มันหลงแล้วเพราะเราเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ พอเหนื่อยเราก็เลิกรู้ เบลอมั้ง อะไรมั้ง สติเราขาด ปัญญาเราก็ขาด เพราะเราไม่มีปัญญามาเข้าใจตรงนี้โดยแท้จริงด้วยใจของเรา" มาถึงตรงนี้ครูบาธีระซึ่งเป็นพระเอกขี่ม้าขาวด้วยคำพูดประโยคก่อน นั่งฟังมานานระยะหนึ่งแล้ว ก็บังเกิดมีคำถามอันเอกอุสวนคำพูดของหลวงตาขึ้นมาว่า "แล้วปัญหาอย่างนี้แหล่ะครับ มันเป็นมานานมาก เราจะจัดการกับมันยังไง เราจะทำยังไง จะบริหารพัฒนามันยังไงครับ" พอจบประโยคของคำถามแค่นั้นแหละหลวงตาถึงกับอึ้ง หยุดกึกไประยะหนึ่ง ครูบาธีระเองก็ถึงกับแค่นเอาเสียงหัวเราะลอดไรฟันออกมาแบบเขินๆไปเหมือนกัน หลวงตาจะตอบคำถามนี้ยังไงโปรดติดตามตอนต่อไป (โห ทำเป็นเท่ห์) แต่ที่แน่ๆผู้เขียนว่าครูบาธีระพลาดหล่นลงจากหลังม้าอีกแล้วหล่ะ ก็คราวก่อนยังพูดอยู่แม็บๆว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น "เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว" ไงหล่ะ เฮ้ออ ขยันขึ้นขยันลงซะจริ้ง ระหว่างรอ ก็รู้สึกตัวไปด้วยนะ

                                "สติมโต สทา ภทฺทํ คนผู้มีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ"

                                    ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต ๙ เมษายน ๒๕๕๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น