วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๔
ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเอาเรื่องแสงกับเวลามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สภาวะการรู้แบบในๆๆๆ ของจิตกับอารมณ์ ซึ่งเรื่องความเร็วของแสง การยืดหดของเวลาและระยะทางนี้ ก็มีที่มาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของยอดนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวเกิดเมื่อ 14 มีนาคม 2422 ต่อมาได้โอนสัญชาติมาเป็นสวิสเซอร์แลนด์และอเมริกันตามลำดับ โดยเขาได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ คืออธิบายถึงการนำเอากลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และถัดมาอีกห้าปีคือปี 2458 เขาก็ได้นำเสนอทฤษฎีใหม่คือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงที่เป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล เป็นการแง้มประตูแห่งกาลเวลาสู่มิติที่๔ เปรียบเป็นคลื่นลูกที่สามแห่งการพลิกโลกพลิกจักรวาล จากที่ อาร์คีมิดีส และ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ทำไว้ก่อน
และเขายังมีส่วนร่วมในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม ซึ่งทั้งสองทฤษฎีนี้ถือเป็นสุดยอดแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีควอนตัมนั้นสามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กกว่าระดับอะตอมได้ ทำให้นักฟิสิกส์ต่างก็รู้สึกพิศวงงงงวยกับการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอนในอะตอม ที่อิเลกตรอนเพียงตัวเดียวมันสามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งภายในอะตอมได้โดยไม่ต้องผ่านช่องว่างหรือระยะทางภายในนั้น เหมือนมันสร้างปาฏิหาริย์โดยการปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในที่ต่างๆ โดยไม่มีระยะทางและเวลามาเป็นสิ่งขวางกั้น ไอน์สไตน์บอกว่า "มันทำตัวเหมือนปีศาจ" และทฤษฎีนี้เองที่ได้ขับเคลื่อนให้วิทยาศาสตร์ขยับเข้าใกล้ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปทุกทีๆ
นักวิทยาศาสตร์ต่างก็ยอมรับว่าทฤษฎีควอนตัมนี้สร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติมากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่เข้าใจยากที่สุดเช่นกัน จนมีคำกล่าวว่า "การสอนทฤษฎีควอนตัมให้กับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ยังจะง่ายกว่าการไปอธิบายให้นักฟิสิกส์กลศาสตร์ฟัง" เปรียบคล้ายๆกับผู้ที่เล่าเรียนศึกษาด้านปริยัติมามาก พอมาได้ยินคำพูดที่บอกเล่าถึงสภาวะที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่ปฏิบัติภาวนามาจนช่ำชองแล้ว ย่อมเกิดความสับสนงุนงงทั้งคำที่ใช้เป็นสมมุติบัญญัติ และสภาวะที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามที่เขาได้เรียนมาแล้วนั่นเอง
ในปี 2464 เขาก็ได้รับรางวัลโนเบล จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโต้อิเลกตริก และจากการทำคุณประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี เขายังมีผลงานอย่างอื่นอีกมากมายที่ล้วนมีคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ โดยมีผลงานที่ตีพิมพ์เผยแผ่ทางวิทยาศาสตร์กว่า 300 ชิ้น ที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น ในช่วงปลายของชีวิตเขาได้พยายามทุ่มเทในการคิดค้นทฤษฎีแรงเอกภาพจนวินาทีสุดท้าย เขาได้เสียชีวิตเมื่อ 18 เมษายน 2498 ที่นิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา นี่คือประวัติแบบคร่าวๆของยอดอัจฉริยะบุคคลแห่งศตวรรษที่ 20 นั่นเอง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้อธิบายถึงความสัมพันธ์กันของพลังงานและมวลสาร ว่าทำให้เกิดความโน้มถ่วงได้อย่างไร และแท้จริงแล้วมวลสารและพลังงานคือสิ่งเดียวกันที่แปรเปลี่ยนได้ และอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลาที่ยืดหดได้ เพราะฉะนั้นในหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ที่สังเกตุอยู่ จะเห็นสิ่งที่ถูกเห็นแตกต่างกันไป
เช่นสมมุติเรานั่งอยู่ในรถที่วิ่งไปด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีรถอีกคันหนึ่งวิ่งสวนทางมาด้วยความเร็วที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะเห็นรถคันนั้นวิ่งมาด้วยความเร็วที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมมุติมีรถอีกคันหนึ่งวิ่งมาในทางเดียวกับเราด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะเห็นรถคันนั้นวิ่งมาด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่คนที่ยืนอยู่ข้างถนนจะมองเห็นรถทั้งสามคันวิ่งด้วยความเร็วตามความจริง
หรืออีกอย่างสมมุติในขณะที่เราอยู่ในรถนั่งกินขนมไปด้วย เราจะมีความรู้สึกว่าเราก็นั่งอยู่ที่เดิม รถก็เคลื่อนที่ไปตามความเร็วและระยะทาง แต่คนที่ยืนอยู่ข้างถนนจะเห็นเราอ้าปากเพื่องับขนมอยู่ตรงจุดนี้ ขนมถูกส่งเข้าไปในปากในอีก 10 เมตรถัดไป กว่าจะเคี้ยวและกลืนลงท้องก็ผ่านไปเป็นสิบเมตรเป็นร้อยเมตรถัดๆไป ซึ่งทั้งสองตัวอย่างนี้ใครผิดใครถูก โดยปกติเราก็อาจจะเห็นว่าผู้ที่สังเกตุอยู่นิ่งกับที่ (คนที่ยืนอยู่ข้างถนน) ควรจะเอามาเป็นพื้นฐานได้มากกว่า แต่ไอน์สไตน์แย้งว่า "พระเจ้า นอกจากจะไม่อนุญาตให้ใครเป็นพระเจ้าได้แล้ว ยังไม่ให้อภิสิทธิ์พิเศษแก่ใครคนใดคนหนึ่งด้วย"
อันที่จริงเรื่องเทศะต่างกัน เวลาต่างกัน การสังเกตุต่างกันนี้ นักวิทยาศาสตร์ต่างก็รู้กันมานานแล้วไม่ว่าผลการณ์สังเกตุนั้นจะเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรือทางธรรมชาติอื่นใดก็ตาม ต่างก็ล้วนมีฐานะความจริงเท่าๆกัน
ในจักรวาลนี้เต็มไปด้วยแสงและคลื่นแม่ไฟฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็นก็มี ที่มองเห็นได้นั้นเป็นส่วนน้อยมากๆ แสงและคลื่นทั้งหมดนั้นมีความเร็วอยู่ที่ 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือประมาณ 300,000 กิโลเมตร ต่อวินาที ซึ่งถือเป็นความเร็วต้องห้ามที่ไม่มีสิ่งใดๆในจักรวาลที่จะสามารถทำความเร็วเท่าแสงได้ การทำความเร็วได้เท่ากับแสงเวลาจะหยุด ถ้าทำได้มากกว่าแสงจะทำให้เกิดการทะลุไปสู่มิติอื่น แสงจึงเหมือนคล้ายๆกับว่าเป็นผู้คุมจักรวาล โดยมันจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดทำความเร็วได้เท่าหรือเกินกว่ามัน หรือหากมีจริงๆมันก็จะล้มกระดานด้วยการหยุดเวลานั่นเอง
จากทฤษฎีนี้เองที่ทำให้ระยะทางและเวลายืดหดได้ เนื่องจากแสงก็เป็นอนุภาคในขณะที่มันเดินทางผ่านจุดที่มีแรงโน้มถ่วงมากๆ มันก็จะเดินทางได้ช้าลงตามแรงดึงดูดนั้น ยิ่งมีแรงดึงดูดมากมันก็จะยิ่งเดินทางได้ช้าลงมาก แต่มันก็จะดึงเวลาให้ช้าลงตามเรื่อยๆเพื่อความคงที่ในความเร็วของมัน (ขี้โกงนะ) ซึ่งมีผู้ไปพิสูจน์ทฤษฎีนี้ของเขา โดยเอานาฬิกาอะตอมที่มีความแม่นยำสูงไปไว้บนภูเขาที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ อีกเรือนหนึ่งเอาไว้ตามพื้นข้างล่างที่มีแรงโน้มถ่วงสูง ผลปรากฎว่านาฬิกาทั้งสองเรือนนั้นเดินช้าเร็วแตกต่างกันจริงๆ แม้แต่ดาวเทียมระบบ GPS ที่โคจรอยู่รอบโลกก็ยังต้องคำนึงผลปรากฏการณ์นี้ เพื่อให้การระบุเวลาเกิดความแม่นยำด้วย
ในทางกลับกันถ้าเราสามารถสร้างยานอวกาศที่มีความเร็วมากๆ ขี่ไล่กวดแสงไปยิ่งทำความเร็วได้มากเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งเดินช้าลงเท่านั้น ถ้าทำความเร็วได้เท่าแสงเวลาก็จะหยุดเดินทันที ระยะทางก็จะเป็นศูนย์ จากหลักการนี้แม้แสงจะมีความเร็วถึง 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีก็ตาม แต่มันจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เดินทางเลย ไม่มีเวลาไม่มีระยะทางทุกอย่างเป็นปัจจุบันขณะโดยตลอด เพราะแสงจะไม่มีความเร่ง มีแต่ความคงที่ตลอด ถ้าตัวมันมีความเร่งการยืดหดของเวลาก็กลายเป็นเรื่องปกติไป
จากหลักการตามทฤษฎีนี้ไอน์สไตน์บอกว่า เวลานั้นจะมีผลต่อชีวะด้วยหมายถึงการแก่ของร่างกาย คือสมมุติว่าเราขี่ยานที่วิ่งไปด้วยความเร็วเท่าแสงทะลุออกนอกโลกไป พอเรากลับมาที่โลกอีกครั้งจะพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะเวลาในโลกยังหมุนไปตามปกติเพื่อนๆของเราอาจแก่หงักหมดแล้ว แต่ตัวเรากลับยังเหมือนเดิมทุกอย่าง และในความรู้สึกของเราก็เหมือนว่าเราไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นเพียงทฤษฎี เพราะวิทยาศาสตร์ยังมีข้อกำจัดเรื่องเครื่องมือ ซึ่งต่างจากพุทธศาสตร์ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไร แต่ต้องฝึกสติให้มีความระลึกรู้ได้เร็วๆและถี่ขึ้นจนเป็นปัจจุบันขณะนั่นเอง
เอาหล่ะทีนี้ก็วกกลับมาเข้าเรื่องรู้แบบในๆๆเสียทีขี้โม้มาซะยืดยาว เรามาดูว่าระหว่างการสร้างยานอวกาศเพื่อพิชิตความเร็วแสง กับการฝึกสติเพื่อพิชิตความเร็วจิต(หลง) ว่าอะไรจะประสพผลสำเร็จก่อนกัน แต่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าการสร้างไทม์แมชชีน หรือยานอวกาศให้มีความเร็วเท่าแสงนั้น มีจริงเฉพาะในหนังสตาร์วอร์และการ์ตูนโดเรม่อนเท่านั้น แต่การฝึกสตินี้มีผู้ที่ทำได้มากอย่างที่รู้ๆกัน เพียงแต่จิตนั้นมีความรวดเร็วในการเกิดดับต่างจากแสงมากอย่างเทียบกันไม่ได้ แสงต้องใช้เวลาในการเดินทางจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกที่ 8 นาที แต่จิตไม่ต้องใช้เวลา จิตจึงสามารถทะลุไปสู่มิติอื่นได้ ย้อนกลับไปดูอดีตได้หรือล่วงหน้าไปดูอนาคตได้ และมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้เหมือนบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเข้าเหยียดแขนออกเท่านั้น เพียงแต่ต้องมีสติคอยควบคุมทิศทางให้ดีดั่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
"สตาธิปเตยฺยา" มีสติเป็นใหญ่
"สมาธิปมุขา" มีสมาธิเป็นประธาน เป็นประมุข
การทำงานของสติกับสมาธิมีความสัมพันธ์กันแต่แตกต่างกัน คล้ายๆกับบ้านเราที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศก็ราวๆนี้
เพราะฉะนั้นเครื่องมือสำคัญที่เราจะใช้ในการรู้สภาวะของรูปนามได้คือสติ โดยอาศัยความตั้งมั่นอันเกิดจากสมาธิเป็นตัวคอยควบคุมอีกทีนั่นเอง เพราะจิตนอกจากจะเกิดดับอย่างรวดเร็วแล้ว ยังสะเปะสะปะไปแบบไร้ทิศทางไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ที่คอยบงการให้เกิดความกระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
เครื่องมือที่จะใช้พิชิตความเร็วแสงคือยานอวกาศ ส่วนเครื่องมือที่จะพิชิตความเร็วจิตก็คือสติอันเป็นสัมมานี่เอง อย่างที่ได้กล่าวถึงไว้ในตอนก่อนๆไปแล้วว่า สติเกิดจากการที่จิตจดจำสภาวะได้แม่น การที่จิตจะจดจำสภาวะได้แม่น ก็เกิดจากการฝึกรู้ฝึกดูบ่อยๆ สุดท้ายก็สูงสุดสู่สามัญ คืออยากเก่งก็ต้องฝึก ถ้าฝึกจนเกิดความชำนาญเป็นวสีแล้ว เรื่องการยืดหดของเวลา การไปสู่มิติอื่นภพภูมิอื่นก็เป็นเรื่องปกติตามวิสัยของผู้ได้ฌานสมาบัติ อย่างที่เราต่างก็เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วมากมาย การเข้านิโรธสมาบัติคราวละ ๗ วัน การเข้าฌานต่างๆคราวละนานๆ หรืออย่างที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน ที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อเข้าสมาธิในถ้ำนานถึง ๙ ปี ในความรู้สึกของท่านเหล่านั้นก็เหมือนเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน หรือมีสัตว์บางประเภทที่จำศีลอยู่เป็นเวลาหลายๆเดือน เช่นกบ อึ่งอ่างค้างคาวบางชนิด หรือหมีขั้วโลก ก็เช่นกันถึงแม้มันจะเป็นไปตามสัญชาติญาณ แต่ในความรับรู้เรื่องเวลานั้นก็คล้ายๆกัน
ถ้าจะบอกว่าเวลาไม่มีอยู่จริงก็คงไม่ผิดนัก แต่ถ้าบอกว่าเวลาจริงๆอยู่ที่จิตน่าจะถูกกว่า สมมุติให้เราไปนั่งคุยอยู่กับคนที่เรารักที่สุด กับให้ไปนั่งอยู่กับคนที่เราเกลียดที่สุด หรือถ้าใครเป็นหนี้ก็ลองให้ไปนั่งอยู่กับเจ้าหนี้ดู โดยจับเวลาที่ห้านาทีเท่ากัน ทีนี้ก็มาลองดูผลกันว่าในความรู้สึกของจิตที่รับรู้นั้น อย่างไหนจะส่งผลให้เวลายืดหดได้ช้าหรือเร็วกว่ากัน
เหมือนอย่างที่เราชาวพุทธต่างก็ทราบกันดีว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถึงภพภูมิต่างๆไว้มากมาย สัตว์ที่อาศัยอยู่ในภพของตนต่างก็มีอายุ วรรณ ความสุขความทุกข์แตกต่างกันไปตามภพภูมิของตนๆ โดยเฉพาะเรื่องเวลานั้นพระองค์ได้ทรงแสดงแก่นางวิสาขา มิคารมาตา มหาอุบาสิกาผู้เป็นเอตทัคคะด้านยินดีในการให้ มีอยู่ใน "อุโปสถสูตร อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต" ขอยกมาโดยสังเขป คือพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า ๕0 ปีซึ่งเป็นของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา โดยราตรีนั้น ๓0 ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปี โดยปีนั้น ๕00 ปีอันเป็นทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา โดยนัยยะเดียวกันที่พระองค์ได้ทรงตรัสนี้ ๑00 ปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์คือ ๑,000 ปีทิพย์ ๒00 ปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นยามา ประมาณอายุของเทวดาชั้นยามาคือ ๒,000 ปีทิพย์ ๔00 ปี ของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันของเทวดาชั้นดุสิต ประมาณอายุของเทวดาชั้นดุสิตคือ ๔,000 ปีทิพย์ ๘,000 ปี ของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นนิมมานรดี ประมาณอายุของเทวดาชั้นนิมมานรดีคือ ๘,000 ปีทิพย์ ๑,๖00 ปี ของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ประมาณอายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีคือ ๑,๖00 ปีทิพย์ และยังมีรูปพรหม อรูปพรหม เดรัจฉาน เปรต นรก วินิบาตต่างๆอีกมากมายซึ่งล้วนมีเวลาอายุที่แตกต่างกัน และรับรู้รับทราบได้ในจิตของแต่ละสัตว์บุคคลเป็นรายๆในภพของตนๆไป เพียงแต่เวลาของแต่ละภพภูมินั้นมีความเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกัน พระองค์เพียงแต่อุปมาให้ผู้ฟังรับทราบเป็นที่เข้าใจได้ตามโวหารเท่านั้น
สรุปแบบรวบรัดเลยการรู้แบบในๆๆ ก็คือการมารู้ที่ประตูใจอันเป็นปราการด่านสุดท้ายของทวารทั้ง๖ โดยการฝึกสติที่เป็นสัมมาสติอันเกิดจากฐานทั้ง ๔ ฐานใดฐานหนึ่งคือ กาย เวทนา จิต และธรรมตามความแก่อ่อนของอินทรีย์แต่ละคน กายกับเวทนาเหมาะกับผู้ที่เดินแบบสมถะยานิก อินทรีย์อ่อนให้ดูกายอินทรีย์แก่ให้ดูเวทนา ส่วนจิตและธรรมเหมาะกับผู้ที่เดินแบบวิปัสสนายานิก อินทรีย์อ่อนให้ดูจิตอินทรีย์แก่ให้ดูธรรม แต่ไม่ว่าจะเริ่มจากฐานไหน สุดท้ายขบวนการของอริยะมรรคก็จะไปรวมลงที่ธรรมอยู่ดี โดยมีสัมมาสมาธิเป็นบาทฐานที่สำคัญ อันจะนำไปสู่ปัญญาเห็นไตรลักขณาคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาต่อไป อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนานั่นเอง (เฮ้อออ สรุปได้เสียที)
ส่วนประเด็นที่สองคือวาทะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ว่า"พบจิตให้ทำลายจิต พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง" ผู้เขียนได้เคยอธิบายไว้บ้างแล้วในตอนก่อนๆ แต่ยังเห็นว่ามีอีกบางแง่มุมที่น่าเอามาเขียนอีก เพราะได้เคยสนทนากับหลายๆท่านและฟังจากการปุจฉาวิสัชนา ของหลวงตากับพระที่ติดตามท่านในวันนั้นแล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าความเข้าใจในคำว่า "ผู้รู้" ของแต่ละท่านนั้น มีความแตกต่างกันหลายระดับ เหมือนในบทความนี้ตอนที่ ๑๑ ที่ผู้เขียนได้แกะคำสนทนาแบบคำต่อคำมาลงให้อ่าน จะเห็นมีอยู่คำถามหนึ่งที่พระอาจารย์เชาว์ถามหลวงตาว่า
"ผมขอย้อนไปตรงคำถามพบผู้รู้หน่อยครับ ช่วงนี้เราทำลายเลยไหมครับหรือว่าทำลายทีหลัง"
หลวงตาได้ตอบว่า
"มันรู้อยู่เราก็แค่อาศัยมันเป็นเครื่องรู้ แต่ไม่เอามันมาเป็นเครื่องยึดนั่นแหละคือการทำลายผู้รู้ ถ้าทิ้งมันไปเลยอย่างนั้นไม่ใช่"
ผู้เขียนเคยได้ฟังจากผู้ที่ได้รับคำสอนนี้มาโดยตรงเลย ท่านบอกว่าคำสอนนี้หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้บอกไว้กับลูกศิษย์เพียงสองท่านคือพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) กับอีกผู้หนึ่งซึ่งตอนนั้นเป็นฆราวาสอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ท่านอุปสมบทได้หลายพรรษาแล้ว แต่จะไม่ขอเอ่ยนามท่าน ซึ่งได้รับคำสอนนี้หลังหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ๗ วัน พอท่านไปหาหลวงพ่อพุธ หลวงพ่อพุธก็ถามท่านว่าควาวนี้หลวงปู่สอนอะไรมา ท่านก็ตอบตามคำหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงพ่อพุธก็ได้อธิบายเพิ่มเติมให้ท่านฟังว่า
"การทำลายผู้รู้ก็คือการไม่ยึดผู้รู้ งั้นเรามาทำกติกากันว่าใครทำลายผู้รู้ได้ก่อนให้มาบอกกัน"
ก็จะเห็นได้ว่าตรงกันทั้งสองท่าน การทำลายผู้รู้ ก็คือการไม่ยึดผู้รู้ ส่วนคำว่าผู้รู้ในที่นี้จากที่ได้ฟังมาโดยตรงจากลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านยืนยันว่าต้องเป็นผู้รู้ในระดับพระอนาคามีเท่านั้น ถ้าต่ำกว่านั้น หรือปุถุชนเต็มขั้นอย่างเราๆ ผู้เขียนขอแนะนำว่ารีบๆหาผู้รู้ให้เจอนะ อย่าเพิ่งไปทำลายมันก่อน เพราะนั่นหมายถึงว่า ท่านควรได้รับการบำบัดที่ศรีธัญญาเป็นการด่วนนั่นเอง
เอาหล่ะนะไปมาทั่วจักรวาลแล้ว สุดท้ายมาลงที่โรงบาลบ้าเฉยเลย ก็จริงจังบ้าง ขำๆบ้าง เหมือนการภาวนาที่ครูบาอาจารย์บอกว่า "จะจับ แต่แกล้งปล่อย" เพราะจิตเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ฝึกได้ ปลอบมันบ้าง ขู่มันบ้าง ชมมันบ้าง ยกยอมันบ้าง มันก็อยากดีเหมือนกัน แต่แรงบีบคั้นของกิเลสตัณหามันยังมีอำนาจเหนือมันอยู่ ก็ต้องสู้กันไป กิเลสไม่ตายจิตก็ไม่ตาย จิตถูกทำลาย กิเลสก็ถูกทำลาย การทำลายจิต ก็คือการไม่ยึดจิต
"จิต ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมิใช่ ไม่ใช่จิต"
พระราชวุฒาจารย์
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น