พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เราเองเมื่อไม่พัก ไม่เพียรจึงข้ามโอฆะได้"
เทวดาทูลถามว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เมื่อไม่พักไม่เพียรทรงข้ามโอฆะได้อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เมื่อใดเรานั้นยังพักอยู่ เมื่อนั้นเราจักจมอยู่ เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เมื่อนั้นเราก็ยังลอยอยู่แน่นอน เราไม่พัก ไม่เพียรอย่างนี้แล จึงข้ามโอฆะได้"
จากการปุจฉา วิสัชนากันแค่นี้ปรากฏว่าเทวดานั้นเข้าใจในความหมายของคำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"จึงได้กล่าวบทกลอนชื่นชมแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายตัวไป
ไม่พักนี่พอเข้าใจ แต่ไม่เพียรนี่สิมันยังไงๆอยู่ เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เคยได้ยินแต่ว่า"คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" ฉะนั้นในการปฏิบัติเราต้องเพียรอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง เราต้องเพียร ฯลฯ
มันก็จริงอยู่ แต่ไม่พัก ไม่เพียร ในที่นี้พระองค์ทรงหมายถึงด้านจิตใจต่างหาก เพราะในการวิสัชนาครั้งที่๒ นั้นพระองค์ใช้คำว่า"พักอยู่ก็จักจมอยู่ และเพียรอยู่ก็จักลอยอยู่" เพื่อเป็นการทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง เราจะโยงพระสูตรนี้ไปหา"ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"ซึ่งเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ เราจะสังเกตุได้เลยว่าพระพุทธองค์จะทรงชี้ทางที่ผิดอันเป็นความสุดโต่งสองทางให้เห็นก่อน คือ"กามสุขัลลิกานุโยค๑ อัตตกิลมถานุโยค๑"
กามสุขัลลิกานุโยค คือการปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่ในกามคุณ นี่คือความหมายในเชิงลักษณะของการ "พักอยู่ก็จักยังจมอยู่" ส่วนอัตตกิลมถานุโยค คือการบังคับกายบังคับใจไม่ให้หลงไหลไปในกามคุณ ซึ่งนี่ก็คือความหมายในเชิงลักษณะของ "เพียรอยู่ก็จักลอยอยู่" แน่นอนว่าทั้งสองอย่างนี้ในด้านการปฏิบัติภาวนาถือว่าเป็นความผิดสุดโต่งไปคนละด้านกัน เมื่อไม่พักไม่เพียรพระพุทธองค์จึงข้ามโอฆะได้คำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"ก็คือ"ทางสายกลางหรืออริยะมรรคมีองค์๘ประการ"นั่นเอง
กามสุขัลลิกานุโยค คือการปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่ในกามคุณ นี่คือความหมายในเชิงลักษณะของการ "พักอยู่ก็จักยังจมอยู่" ส่วนอัตตกิลมถานุโยค คือการบังคับกายบังคับใจไม่ให้หลงไหลไปในกามคุณ ซึ่งนี่ก็คือความหมายในเชิงลักษณะของ "เพียรอยู่ก็จักลอยอยู่" แน่นอนว่าทั้งสองอย่างนี้ในด้านการปฏิบัติภาวนาถือว่าเป็นความผิดสุดโต่งไปคนละด้านกัน เมื่อไม่พักไม่เพียรพระพุทธองค์จึงข้ามโอฆะได้คำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"ก็คือ"ทางสายกลางหรืออริยะมรรคมีองค์๘ประการ"นั่นเอง
หลายคนอาจเข้าใจว่า กามสุขัลลิกานุโยค คือการปล่อยตัวให้จมอยู่ในกาม และอัตตกิลมถานุโยค คือการทำตัวเองให้ลำบาก ซึ่งมันก็ถูกอยู่ แต่มันถูกเพียงด้านเดียว เพราะในด้านการภาวนานั้น เพียงแค่เราเผลอปล่อยใจให้ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ โดยไม่มีสติระลึกรู้ได้นั้น ก็ถือว่าผิดแล้วเพราะสุดไปทางหนึ่ง เพราะนี่คือการ"พักอยู่" หรือกามสุขัลลิกานุโยคนั่นเอง แน่นอนว่ายิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งจะเป็นการสะสมอนุสัยส่วนนี้ให้หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตายไปก็ย่อมต้องยังวนเวียนอยู่ในกามาวจรภูมิ ที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า"จมอยู่"นั่นเอง
ถ้าใครที่เคยศึกษาพุทธประวัติ หรือเคยอ่านในตำราคัมภีร์ทางพุทธศาสนาต่างๆ จะเห็นได้ว่ามักจะมีความเกี่ยวข้องกับเหล่านักบวช ฤาษีชีไพรเยอะมาก คือคนกลุ่มนี้แหละที่เห็นโทษของกาม ก็เลยมุ่งหาทางออก เพียงแต่ว่าต่างคนก็ต่างหาวิธีไปตามความคิดเห็นของตนๆไป เช่นบางคนอยากกิน ไม่ให้มันกิน อยากนอน ไม่ให้มันนอน หรืออยากนอนสบายก็แกล้งไปนอนบนหนามบนตะปูเสีย หรือประพฤติวัตรเหมือนสุนัขบ้าง เหมือนโคบ้าง แก้ผ้าแก้ผ่อนเพื่อประกาศว่าตนเองไม่ยึดติดอะไร แบบนี้ก็มี
แต่ก็ยังมีนักบวชฤาษีบางกลุ่มที่อาศัยการเข้าฌานสมาธิ เพื่อเป็นการหลีกออกจากกามแสวงหาความสุขอันปราณีตในฌานเป็นลำดับไปตามความสามารถของตนๆ ซึ่งกลุ่มหลังนี่แหละที่จัดว่า"เพียรอยู่" เพราะเมื่อมีชำนาญในการเข้าฌานมากเข้า ในขณะตายก็จะตายในฌาน คนกลุ่มนี้ก็จะยังต้องวนเวียนอยู่ใน"รูปาวจรภูมิบ้าง อรูปาวจรภูมิบ้าง"ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "ลอยอยู่"นั่นเอง
แต่ก็ยังมีนักบวชฤาษีบางกลุ่มที่อาศัยการเข้าฌานสมาธิ เพื่อเป็นการหลีกออกจากกามแสวงหาความสุขอันปราณีตในฌานเป็นลำดับไปตามความสามารถของตนๆ ซึ่งกลุ่มหลังนี่แหละที่จัดว่า"เพียรอยู่" เพราะเมื่อมีชำนาญในการเข้าฌานมากเข้า ในขณะตายก็จะตายในฌาน คนกลุ่มนี้ก็จะยังต้องวนเวียนอยู่ใน"รูปาวจรภูมิบ้าง อรูปาวจรภูมิบ้าง"ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "ลอยอยู่"นั่นเอง
ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งหลายคนอาจแย้งว่า ไม่น่าจะเป็นอัตตกิลมถานุโยคนะทั้งเก่งทั้งดีจนได้ไปเป็นพรหมขนาดนั้น ในด้านการปฏิบัติภาวนาของศาสนาพุทธถือว่าเป็นแน่นอน เพราะเป้าสูงสุดคือนิพพานไม่ใช่พรหม การใช้ความเพียรเพ่งในลักษณะนี้ ถ้าในภาษาที่ปัจจุบันนิยมใช้กันก็คือ ติดดีบ้าง ติดสุขบ้าง ติดความว่าง โล่ง โปร่ง เบาบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นการสร้างภพอยู่ดี จัดเป็นภโวฆะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของโอฆะ คือกาโมฆะ๑ ภโวฆะ๑ ทิฏโฐฆะ๑ อวิโชฆะ๑
แต่ถึงยังไงกลุ่มนี้ก็ต้องถือว่าดีกว่ากลุ่มแรกแน่นอน ถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเขาจะปฏิบัติไปได้เร็วมาก เพราะเป็นผู้มีกิเลสน้อยและสะสมพลังจิตจากสมถะมามากแล้วนั่นเอง
แต่ถึงยังไงกลุ่มนี้ก็ต้องถือว่าดีกว่ากลุ่มแรกแน่นอน ถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเขาจะปฏิบัติไปได้เร็วมาก เพราะเป็นผู้มีกิเลสน้อยและสะสมพลังจิตจากสมถะมามากแล้วนั่นเอง
ผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนอาจยังสงสัยอยู่ว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงเลือกที่จะชี้ทางผิดให้เห็นก่อน ทำไมไม่ทรงชี้ผลสูงสุดอันเกิดจากการภาวนามาให้เห็นก่อนเลยหล่ะ ซึ่งแน่นอนว่าผลสูงสุดนั้นก็คือนิพพานนั่นเอง เพราะจะเป็นการจูงใจให้คนอยากมาภาวนากัน
ผู้เขียนขอวิเคราะห์ว่า ถ้าพระพุทธองค์ชี้ไปที่ผล คนทั้งหลายก็จะมุ่งไปทำผล ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถ้าจะให้ถูกต้องทำเหตุให้ถึงพร้อมก่อน แล้วผลจะปรากฏขึ้นมาเอง
และเหตุที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางผิด ๒ อย่างนั้น เพราะในการการภาวนานั้น เมื่อไรที่รู้ว่าผิด ในขณะนั้นนั่นแหละมันจะถูกพอดี เช่นเมื่อรู้ว่ากำลังเผลอไปคิด ตรงนี้ถูกพอดีเป๊ะเลย แต่พอขณะถัดมา กลัวจะเผลออีกเลยเพ่งเอาไว้ อันนี้ก็ผิดอีก คือสุดโต่งไปคนละด้าน แล้วที่ถูกอยู่ไหนหล่ะ? ก็อยู่ตรงที่รู้นั่นแหละ
แล้วรู้อะไรหล่ะ? ก็รู้กาย รู้ใจหรือรูป นามลงปัจจุบันอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่เชื่อเถอะว่านอกจากพระอรหันต์แล้วไม่มีใครอดที่จะแทรกแซงไม่ได้หรอก เพราะต่างก็รักดีด้วยกันทั้งนั้น คือเมื่อมีสภาวะที่ดีเกิดขึ้นก็จะยึดเอาไว้ เมื่อมีสภาวะที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็อยากผลักออก
แล้วถ้าจะให้ไม่มีการแทรกแซงหล่ะ? ก็รู้สภาวะตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางสิ
แล้วทำยังไงจิตจะตั้งมั่นและเป็นกลางได้หล่ะ? ทำไม่ได้หรอก นอกจาก"รู้"เอา
แล้วถ้าจะให้ไม่มีการแทรกแซงหล่ะ? ก็รู้สภาวะตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางสิ
แล้วทำยังไงจิตจะตั้งมั่นและเป็นกลางได้หล่ะ? ทำไม่ได้หรอก นอกจาก"รู้"เอา
สรุป"ไม่พัก ไม่เพียร" ก็คือทางสายกลาง หรืออริยะมรรคมีองค์ ๘ ประการ
"พักอยู่" ก็คือ กามสุขัลลิกานุโยค หรือที่ครูบาอาจารย์สมัยนี้ท่านใช้คำว่า "เผลอ" นั่นเอง
"เพียรอยู่" ก็คือ อัตตกิลมถานุโยค หรือที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่า "เพ่ง" นั่นเอง
"โอฆะ" คือห้วงน้ำ หมายถึงสิ่งที่ทำให้สัตว์จมลง มี ๔ อย่างคือ กาโมฆะ ห้วงน้ำคือกาม๑ ภโวฆะ ห้วงน้ำคือภพ๑ ทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือความคิดเห็น๑ อวิชโชฆะ ห้วงน้ำคือความไม่รู้๑
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจกทั้งหลาย พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ต่างก็ข้ามโอฆะทั้ง๔นี้ได้ด้วยการ"ไม่พัก ไม่เพียร" มีนัยดั่งพรรณามาด้วยประการ ฉะนี้ฯ
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต ๒๕ เมษายน ๒๕๖o
"พักอยู่" ก็คือ กามสุขัลลิกานุโยค หรือที่ครูบาอาจารย์สมัยนี้ท่านใช้คำว่า "เผลอ" นั่นเอง
"เพียรอยู่" ก็คือ อัตตกิลมถานุโยค หรือที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่า "เพ่ง" นั่นเอง
"โอฆะ" คือห้วงน้ำ หมายถึงสิ่งที่ทำให้สัตว์จมลง มี ๔ อย่างคือ กาโมฆะ ห้วงน้ำคือกาม๑ ภโวฆะ ห้วงน้ำคือภพ๑ ทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือความคิดเห็น๑ อวิชโชฆะ ห้วงน้ำคือความไม่รู้๑
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจกทั้งหลาย พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ต่างก็ข้ามโอฆะทั้ง๔นี้ได้ด้วยการ"ไม่พัก ไม่เพียร" มีนัยดั่งพรรณามาด้วยประการ ฉะนี้ฯ
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต ๒๕ เมษายน ๒๕๖o
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น