แต่ผู้เขียนพอจับประเด็นหลักๆได้อยู่ ๒ เรื่อง เพราะฉะนั้นในตอนนี้ผู้เขียนจึงอยากหยิบเอาทั้ง ๒ ประเด็นนั้นมาขยายเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ได้เคยพูดถึงไว้แล้วเมื่อตอนก่อนๆ เพียงแต่ว่ามันมีบางแง่มุมที่ยังไม่ได้พูดถึงเท่านั้นเอง
ประเด็นแรกคือคำพูดของหลวงตาที่ว่าให้ "รู้ในๆๆ" ในความหมายที่ผู้เขียนเข้าใจคือท่านให้เราตามรู้ตามดูกิริยาอาการที่เกิดขึ้นทางประตูใจ โดยให้รู้ซื่อๆอย่างที่มันเป็น ไม่มีการเข้าไปจัดการหรือแทรกแซง ให้เป็นผู้รู้ ผู้ดูที่ดีที่สามารถรู้เห็นเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนเป็นปัจจุบันขณะๆไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและมีความเที่ยงธรรมคือมีความเป็นกลางๆในทุกสภาวะประกอบพร้อมลงในปัจจุบันขณะ พร้อมทั้งที่รู้นั้นก็ให้ละ ให้วางไปด้วย คงปล่อยให้ทุกสภาวะที่ได้รับรู้รับทราบแล้วนั้นไหลผ่านไปๆ เป็นอดีตแบบทันทีทันใด ส่วนเราก็ยืนหยัดอยู่กับปัจจุบันสันตติสืบต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าสภาวะใดจะเกิดขึ้นก็ให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ดู ที่ดี มีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ในทุกๆสภาวะ คือให้เราท่องเอาไว้เลยว่า "ถึงจะหลังพิงฝา ข้าก็จะรู้"
ส่วนประเด็นที่สองคือการทำลายผู้รู้ที่ดูเหมือนว่า แต่ละคนต่างก็มีความเข้าใจที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผู้รู้ที่ว่านี้มันรู้แค่ไหน ระดับใดแม้ผู้เขียนจะได้อธิบายไว้บ้างแล้วในตอนก่อนๆ แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าน่าจะได้หยิบยกเอามาขยายความเพิ่มอีกเพื่อความกระจ่างแจ้งในอีกหลายๆแง่มุม งั้นมาว่ากันถึงประเด็นแรกเลย
"การเป็นผู้รู้ผู้ดูที่ดีนี้คือยังไงหล่ะ"
ก็ดูแบบไม่เลือกข้าง คือไม่เชียร์ข้างนี้ แล้วแช่งข้างโน้นไง ผู้เขียนสมัยเป็นวัยรุ่นจะชอบดูมวยชิงแชมป์โลก เพราะตอนนั้น เขาทราย แกแล็คซี่ กำลังดังมาก เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจชาวไทยตัวจริงได้เลยเวลาก่อนชกจะมีคนมามอบทองคำ มอบเงิน แม้แต่โฉนดที่ดินก็มีคนมามอบให้มากมายจนบางครั้งผู้เขียนก็แอบอิจฉาแกอยู่เหมือนกัน (อ้าว! เริ่มเอียงแล้วไหมหล่ะ) และที่แน่ๆนะ ถนนในกรุงเทพที่เคยแออัดยัดเยียดไปด้วยยวดยานพาหนะนี่จะโล่ง โถง โปร่ง สบาย ราวกับทุ่งกุลาร้องไห้ก็มิปาน (รู้ตัวไปด้วยนะ ว่าเริ่มโม้แระ)
คือจะบอกว่าพอแกเริ่มชกนะ คนจำนวนมากที่มารวมพลังกันเชียร์อยู่หน้าจอโทรทัศน์ (จำได้ว่าในตอนนั้นทั้งหมู่บ้านมีโทรทัศน์อยู่สองเครื่อง ขาวดำเครื่องหนึ่ง แบบสีอีกเครื่องหนึ่ง ต้องใช้เครื่องปั่นไฟเพื่อให้ได้กระแสไฟฟ้า) ผู้คนที่มารวมตัวกันดูอยู่ก็จะเริ่มออกแอ็คชั่นกันใหญ่ ยิ่งตอนที่เขาทรายไล่ต้อนคู่ต่อสู้เข้าไปจนมุมหลังพิงเชือก แล้วเอาหมัดขวาค้ำหน้าคู้ต่อสู้ไว้ ทะลวงไส้ด้วยหมัดซ้ายพิฆาตอันทรงพลังนะ โอ้ โห ขนาดตาแก่อายุเกือบร้อยยังอุตส่าห์ลุกขึ้นลุ้น แถมออกท่าทางได้เหมือนเขาทรายในตอนนั้นเด้ะเลย คือตาลุงแกก็เอามือขวาของแกยื่นค้ำไปข้างหน้า ส่วนข้างซ้ายก็อยู่ในลักษณะที่กำหมัดแน่นพร้อมจะทะลวงไส้คู่ต่อสู้แบบไร้ความปราณี สายตาอันดุดันเหี้ยมเกรียมของแกก็จดจ้องเขม็งไปที่หน้าจอโทรทัศน์ดุจพยัคฆ์จ้องเหยื่อ
แต่!อนิจจา ในง่ามนิ้วมือขวาของแกกลับคีบบุหรี่ที่แกสูบไปแล้วครึ่งนึงเอาไว้หน่ะสิ มันก็เลยไปจิ้มเข้าที่ท้ายทอยของตาลุงวัยไล่เลี่ยกันอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังลุ้นจนตัวโก่งและก็อยู่ในท่าทางลักษณะที่ยักแย่ยักยันคล้ายๆกันเสียด้วย แต่ในขณะนั้นเป็นจังหวะที่เขาทรายจ้วงหมัดซ้ายที่สามส่งคู่ต่อสู้ลงไปนอนตัวงอขี้ก้องเป็นกุ้งแห้งให้กรรมการนับสิบพอดี หลังจากที่ไชโยโห่ร้องฉลองเฉลิมกันสุดเหวี่ยงแล้ว ตาลุงคนที่อยู่ข้างหน้าก็เอามือมาบัดๆที่ท้ายทอยเหมือนเพิ่งนึกได้ว่า เอ๊ะ! เมื่อกี้มันมีอะไรร้อนๆอยู่ตรงนี้ ส่วนตาลุงที่อยู่ข้างหลังก็รีบขอโทษขอโพยเพราะไม่ได้ตั้งใจ แล้วลุงทั้งสองก็จับไม้จับมือหัวเราะร่ายิ้มโชว์เหงือกให้กันและกันฉันท์มิตร ในตอนนั้นถือว่าทุกคนสุขสมหวังในชัยชนะอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ของยอดนักชกขวัญใจชาวไทย และด้วยอานิสงส์แห่งชัยชนะนั้น ก็ได้ทำให้ไม่เกิดมวยสดนอกจอเพิ่มขึ้นอีกคู่หนึ่งด้วย และแล้วทั่วอาณาบริเวณนั้นก็อบอวลไปด้วยความยินดีปรีดา ชื่นมื่น เบิกบาน เต็มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจด้วยความสุขอันสุดจะหาสิ่งใดมาอุปมาได้ ด้วยประการฉะนี้ฯ
แต่ผู้เขียนยังยืนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งกับภาพของสองตาลุงผู้มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ จนไม่อาจหายได้ง่ายๆ ขนาดเวลาผ่านมาเนิ่นนานนะ ผู้เขียนนึกถึงทีไรก็ยังขำได้ทุกที ผับผ่า
"แล้วที่โม้มาทั้งหมดนี้ มันเกี่ยวอะไรกับการเป็นผู้ดูที่ดีหล่ะ"
เกี่ยวซี้ ไม่งั้นจะโม้มาทำไม ถ้าเราดูโดยไม่เชียร์ข้างนี้ แช่งข้างโน้นเราก็ไม่มีภาระอะไรที่ต้องไปลุ้นจนตัวโก่งหัวใจแทบวายเหมือนสองตาลุงนั่น แค่ดู รู้ เห็น เป็นกลางๆ รู้แล้วละ รู้แล้ววาง รู้ในๆๆเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ (ถ้าอยากเข้าใจให้ละเอียดขึ้นอีก ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปฟังใน youtube ชื่อตอนว่า รู้แล้วละ รู้แล้ววาง มีสองตอนนำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๕-๒๖ เมษายนที่ผ่านมานี้เอง โฆษณาหน่อย)
ในสภาวะที่เกิดขึ้นกับนักภาวนาคำว่าเชียร์กับคำว่าแช่งความหมายมันไปตรงกับคำว่า "รักสุข เกลียดทุกข์" หรือ "ดีรัก ชั่วชัง" นั่นเอง คือสภาวะที่ดี ที่สุขอยากยึดเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งความโลภ สภาวะที่ไม่ดี ที่เป็นทุกข์อยากผลักออกด้วยอำนาจแห่งความโกรธ จากนั้นก็มีการเข้าไปจัดการแทรกแซงสภาวะ คือสะกดตัวเองให้นิ่งๆ เฉยๆสภาวะอย่างอื่นเคลื่อนไหวเกิดดับ แต่กลับมีอีกตัวหนึ่งที่นิ่งๆอยู่ อย่างนี้แหละคือการไม่เป็นผู้ดูที่ดี อันเกิดจากความไม่มีความเป็นกลาง เอนเอียงไปตามแรงผลักของตัณหา คือภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น วิภวตัณหา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น นี่ยังไม่นับรวมกามตัณหาอันมีความวิจิตรพิศดารพันลึกอีกเกินจะคณานับได้อีกบานทะโล่
การแทรกแซงสภาวะด้วยการสะกดหรือเพ่งเอาไว้ ด้วยการใช้กำลังของสมาธิแบบหยาบๆนี้ จะไม่เกิดผลดีในระยะยาวเลย แถมพอหมดแรงกดแล้วมันจะตีกลับแถมคิดดอกเบี้ยเพิ่มกับเราแบบทันทีทันใดเลย ลองนึกภาพดูว่าถ้าเราเอามือไปกดขดลวดเหล็กสปริงเอาไว้ ตราบใดที่เรายังไม่หมดแรงสปริงก็หมดพิษสง แต่ถ้าเราหมดแรงเองเมื่อไหร่สปริงมันก็จะดีดตัวมันออกด้วยแรงบีบอัดที่มีอยู่ในตัวมันเอง แล้วผลักมือของเราให้กระเด็นออกมาได้ ซึ่งอาการแบบนี้เคยเกิดกับผู้เขียนมาแล้ว บอกได้แค่ว่า "มันทุกข์มาก มันหงุดหงิดมาก มันพลุ่งพล่านมาก มันโกรธมาก และอีก ฯลฯ สรุปว่าไม่ดีเลย"
ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าความไม่เป็นกลางที่เกิดจากแรงผลักของกิเลสตัณหานี้ ย่อมทำให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหวแล้วเคลื่อนไหลออกจากฐานที่ตั้ง ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันในตอนนั้นเห็นจิตที่กำลังไหลไปอยู่ จิตก็จะกลับมาตั้งมั่นที่ฐานได้ในทันที แต่ถ้ารู้ไม่ทันความไม่เป็นกลางจะเกิดขึ้นและจะมีการแทรกแซงสภาวะทันที อย่างเช่นที่พระอาจารย์เชาว์ท่านบอกว่าพอดูสภาวะไม่ชัด ก็จะใช้การเพ่งเข้ามาช่วย ซึ่งการเพ่งนี้ก็เป็นอาการของความ "จงใจ" ทำขึ้นมา เพราะฟังจากที่ท่านเล่าแล้วน่าจะเข้าข่ายดังที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์มานั่นแหละ โดยเฉพาะที่ท่านบอกว่า "พอเพ่งนานๆแล้วจะมีอาการปวดหัวตามมา" ฉะนั้นถ้าใครไม่อยากเป็นแบบนี้ก็ท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า "อย่าทิ้งรู้" เพราะตัวรู้นี้คือสติแก้ไขสถานการณ์ได้ทุกกระบวนท่า
แต่ถึงยังไงก็ยังมีการเพ่งที่ดีกว่านี้คือมีศิลปะและชั้นเชิงที่เหนือกว่า คือการใช้กำลังของ "สัมมาสมาธิ" เข้ามาช่วย ซึ่งสัมมาสมาธินี้ท่านได้แบ่งออกไปอีกได้ ๒ ประเภทคือ
๑) อารัมมณูปนิชฌาน คือการเพ่งอยู่ในอารมณ์เดียว จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ถูกรู้อยู่อย่างเดียว หรือจิตผู้รู้อยู่รวมกับสิ่งที่ถูกรู้เป็นอันเดียว เป็นสมถะคือจิตจะสงบมีกำลัง เป็นฐานให้ได้ฤทธิ์อภิญญา
๒) ลักขณูปนิชฌาน คือการเพ่งลักษณะ คือจิตผู้รู้ตั้งมั่นอยู่กับฐาน ส่วนอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้มีเป็นพันเป็นหมื่นเคลื่อนไหวเกิดดับไปตามเหตุปัจจัย แต่จิตผู้รู้ไม่ไหลไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้ เป็นวิปัสสนาคือจิตจะตั้งมั่นอันเป็นฐานให้เกิดปัญญา
สมาธิทั้ง ๒ ประเภทนี้มีความแตกต่างกันแต่จัดเป็นสัมมาสมาธิเหมือนกันเพราะมีสติตามระลึกรู้ได้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ซึ่งรจนาโดย "พระพุทธโฆษาจารย์" ซึ่งเป็นเอกอุแห่งอรรถกถาจารย์ชาวอินเดีย ยุคหลังพุทธปรินิพพานไปแล้วเกือบพันปี คือท่านเกิดในราว พ.ศ.๙๔๕ ได้จัดแบ่งระดับของสมาธิออกไว้เป็น ๓ ระดับคือ
๑) ขณิกะสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะหนึ่ง เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เป็นขณะๆไป
๒) อุปจารสมาธิ คือสมาธิจวนจะแนบแน่นแน่วแน่แล้ว แต่ยังมีซัดส่ายไปมาบ้าง
๓) อัปนาสมาธิ คือสมาธิที่แนบแน่นมั่นคง ดิ่งลึกไม่ซัดส่าย
ทีนี้มาดูถึงความแตกต่างของสมาธิทั้งสองประเภทนี้กันดีกว่า ประเภทแรกที่เรียกว่า "อารัมมณูปนิชฌาน" นั้น ก็เพราะว่ามันเป็นสมาธิที่เพ่งนิ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียว อารัมมะ ก็คือ อารมณ์ อารมณ์ก็คือสิ่งที่ถูกรู้ การรับรู้อยู่กับอารมณ์อันเดียว บาลีท่านเรียกว่า "เอกัคคตารมณ์" ซึ่งสมาธิประเภทนี้แบ่งออกแยกย่อยได้อีก ๒ อย่างคือ รูปฌาน๔ และอรูปฌาน๔ รวมเป็น ๘ ระดับดังนี้
รูปฌาน ๔
๑) ปฐมฌาน มีองค์ประกอบแห่งฌานอยู่ ๕ อย่างคือ วิตก๑ วิจาร๑ ปีติ๑ สุข๑ เอกัคคตารมณ์๑
๒) ทุติยฌาน มีองค์ประกอบแห่งฌานอยู่ ๓ อย่างคือ ปีติ๑ สุข๑ เอกัคคตารมณ์๑
๓) ตติยฌาน มีองค์ประกอบแห่งฌานอยู่ ๒ อย่างคือ สุข๑ เอกัคคตารมณ์๑
๔) ทุติยฌาน มีองค์ประกอบแห่งฌานอยู่ ๒ อย่างคือ อุเบกขา๑ เอกัคคตารมณ์๑
อรูปฌาน ๔
๕) อากาสานัญจายตนะ การเพ่งกำหนดอยู่ในช่องว่าง (อากาศ) ว่าไม่มีที่สิ้นสุด
๖) วิญญานัญจายตนะ การเพิกออกจากการเพ่งในช่องว่าง มารู้อยู่กับผู้รู้ช่องว่างคือวิญญาณ
๗) อากิญจัญญายตนะ การเพิกออกจากการรู้อยู่กับวิญญาณ มารู้อยู่กับความไม่มีอะไรเลย
๘) เนวสัญญานาสัญญายตนะ การเพิกออกจากการรู้อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะมันยังมีความรู้สึกว่าการรู้อยู่กับความไม่มีอะไรเลยนั้นมันยังมีภาระอยู่ มารู้อยู่กับการที่จะว่ามีสัญญาอยู่ก็มิใช่ จะว่าไม่มีสัญญาอยู่ก็มิใช่ นี่คือฌานสมาบัติขั้นสูงสุดของสมาธิประเภทนี้ ส่วนองค์ประกอบแห่งฌานสมาบัติของอรูปฌาน ก็มีระดับละสองอย่างคือชื่อของสมาบัติแต่ละขั้น แล้วบวกด้วย เอกัคคตารมณ์นั่นเอง
ส่วน "ลักขณูปนิชฌาน" คือจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้เด่นดวง แต่อารมณ์ที่ถูกรู้นั้นจะมีมากเท่าไหร่ก็ได้ ก็มีองค์ประกอบเหมือนกันทุกอย่างกับ "อารัมมณูปนิชฌาน" แต่มีความพิเศษกว่าตรงที่ว่ามีระดับฌานถึง ๙ ระดับคือเพิ่ม "สัญญาเวทยิทตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติ" ขึ้นมานั่นเอง และที่พิเศษมากไปกว่านั้นคือสมาธิประเภทนี้จะมีอยู่ก็เฉพาะในทางพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น และในสมาบัติขั้นที่ ๙ นั้นผู้ที่จะเข้าได้ต้องเป็นพระอริยะบุคคลแล้วเท่านั้น
เมื่อก่อนผู้เขียนเคยอ่านตำหรับตำราแนวสมาธิสมาบัติมาพอสมควร ก็เคยรับรู้มาว่าผู้ที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น ต้องเป็นพระอนาคามีกับพระอรหันต์เท่านั้น แต่แล้วทฤษฎีนี้ก็ถูกตีตกไปจนได้เพราะมีครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือมากอยู่ท่านหนึ่ง (แต่จะไม่ขอเอ่ยนามท่านนะเพราะทุกวันนี้ท่านก็ยังดำรงค์ขันธ์อยู่) ท่านได้บอกเล่าจากประสพการณ์ตรงของท่านไว้ว่า "ขั้นพระโสดาบันก็เข้าได้แล้ว แต่ต้องมีวสีในสมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌานจนถึงขั้นที่๘มาก่อน" โดยท่านได้อธิบายการเข้านิโรธสมาบัติแบบคร่าวๆไว้ว่าจะอธิฐานเข้าตั้งแต่ปฐมฌานเลยก็ได้ หรืออธิฐานไว้ก่อนแล้วเข้าสมาบัติมาทีละขั้นไล่มาเรื่อยๆจากปฐมฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้วเข้านิโรธแบบนี้ก็ได้ หรือไม่ได้อธิฐานไว้แต่เข้าสมาบัติมาทีละขั้นจากปฐมฌานจนมาถึงขั้นอากิญจัญญายตนะแล้วก็เข้านิโรธสมาบัติก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้อธิฐานไว้ก่อนแล้วเข้าสมาบัติไปเรื่อยๆตามลำดับจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะจะเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เพราะขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า จะว่ามีสัญญาอยู่ก็มิใช่ จะว่าไม่มีก็มิใช่ คือการรับรู้มันริบหรี่ๆเคลิบเคลิ้มแบบสุดๆชนิดฟ้าผ่าลงมาข้างๆยังไม่รู้ตัว ถ้าประสงค์จะเข้านิโรธสมาบัติก็ถอยลำดับฌานลงมาที่อากิญจัญญายตนะก่อนจึงจะเข้าได้
ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตุจากทฤษฎีที่ว่า ต้องเป็นพระอนาคามีกับพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ อาจจะเป็นการฟังสืบๆกันมา อาศัยตรรกะการคาดคะเนเอาบ้าง เพราะเรื่องนี้ก็มีข้อมูลจากพุทธพจน์ที่มาในพระสูตรที่ว่า
พระโสดาบันเป็นผู้ มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย
พระสกทาคามีเป็นผู้ มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิปานกลาง มีปัญญาเล็กน้อย
พระอนาคามีเป็นผู้ มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาปานกลาง
พระอรหันต์เป็นผู้มีความบริบูรณ์พร้อมทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา
คืออาจจะไปยึดเอาพุทธพจน์ที่ว่า "มีสมาธิบริบูรณ์" ซึ่งก็จะมีอยู่เฉพาะในคุณสมบัติของพระอานาคามีกับพระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งพระพุทธพจน์ที่ได้ตรัสไว้ทำนองนี้ก็มีที่มาในหลายพระสูตรเช่น เสขะสูตร ในอังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกกนิบาต เป็นต้น
แต่ก็อย่างว่าเรื่องแบบนี้มันยังไกลตัว และเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตัว และเรื่องฌานสมาบัตินี้ยังเป็นหนึ่งในอจินไตยสี่ที่ไม่ควรคิด เพราะคิดไปเท่าไหร่ก็ไม่จบแถมอาจได้รับความลำบากกลายเป็นสติแตกไปเลยก็ได้ อจินไตยคือเรื่องที่ไม่ควรคิด มี ๔ เรื่องคือ
๑) พุทธวิสัย วิสัยความปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้า
๒) ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓) โลกจินไตย เรื่องโลกเรื่องจักรวาล
๔) กรรมจินไตย เรื่องของกรรม วิบากของกรรม
เพราะฉะนั้นคำว่า "สมาธิบริบูรณ์" ในที่นี้พระพุทธองค์ทรงชี้เจาะจงไปที่่สมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน ที่มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู ไม่ใช่จิตสงบอยู่กับอารมณ์เดียวแบบอารัมมณูปนิชฌาน
ผู้เขียนเชื่อว่าชาวพุทธเกินครึ่งขึ้นไปนะ ต้องเคยศึกษาพุทธประวัติกันมาบ้างไม่มากก็น้อย เคยสงสัยกันบ้างไหมหล่ะว่า ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะราชโพธิสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมม์ใหม่ๆ พระองค์ได้ทรงแสวงหาสันติวรบทก็ได้เข้าไปสู่สำนักของฤาษีสองท่านคือ "อาฬารดาบสกาลามโคตร" พระองค์ก็ได้สำเร็จอรูปฌานสมาบัติขั้นที่๗ คืออากิญจัญญายตนะ และอีกท่านหนึ่งคือ "อุทกดาบสรามบุตร" พระองค์ก็ได้สำเร็จอรูปฌานขั้นสูงสุดคือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พระองค์สามารถบรรลุได้อย่างรวดเร็วชนิดแค่จบปากเจรจาเท่านั้น จนดาบสทั้งสองท่านได้แต่งตั้งพระองค์ไว้ที่ตำแหน่งอาจารย์ เพื่อให้พระองค์ได้อยู่ช่วยกันสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนักในฐานะที่เสมอด้วยตัวเอง แต่พระองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้จริงจึงได้หลีกออกมา จากนั้นก็ได้จาริกมาถึงตำบล "อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ" ซึ่งมีภูมิภาคอันน่ารื่นรมณ์ จึงได้อาศัยอยู่สถานที่นั้นสืบมา
จากนั้นอุปมา ๓ ข้อก็ได้ปรากฏแก่พระองค์อย่างไม่เคยมีมาก่อนคือ
๑)เปรียบเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยางที่ตั้งอยู่ในน้ำ ย่อมไม่อาจนำมาสีกันเพื่อให้เกิดเปลวไฟขึ้นได้ ซึ่งก็อุปมาเหมือนสมณะพรามณ์บางพวกที่มีกายยังไม่หลีกออกจากกาม มีความยินดีในกาม มีความเร่าร้อนเพราะกาม แม้ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรก็ดี หรือไม่ได้รับทุกขเวทนากล้าเพราะความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะรู้เพื่อจะเห็น เพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
๒)เปรียบเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยางตั้งอยู่บนบกไกลน้ำ ย่อมไม่อาจนำมาสีกันเพื่อให้เกิดเปลวไฟได้ ซึ่งก็อุปมาเหมือนสมณะพรามณ์บางพวกที่มีกายอันหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีความยินดีในกาม มีความเร่าร้อนเพราะกาม แม้ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรก็ดี หรือไม่ได้รับทุกขเวทนากล้าเพราะความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะรู้เพื่อจะเห็น เพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
๓)เปรียบเหมือนไม้แห้งตั้งอยู่บนบกไกลน้ำ ย่อมนำมาสีกันเพื่อให้เกิดเปลวไฟได้ ซึ่งก็อุปมาเหมือนสมณะพรามณ์บางพวก มีกายอันหลีกออกจากกามแล้ว ไม่มีความยินดีในกาม ไม่มีความเร่าร้อนในกาม แม้ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรก็ดี หรือไม่ได้รับทุกขเวทนากล้าเพราะความเพียรก็ดี ก็สมควรเพื่อจะรู้เพื่อจะเห็น เพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
จากอุปมา ๓ ข้อนี้เอง ที่เป็นเหตุให้พระองค์ทรงเลือกที่จะบำเพ็ญทุกกรกิริยาเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ รวมเวลาตั้งแต่ออกมหาภิเนษกรมม์มาก็ ๖ ปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จได้ พระองค์จึงมีพระราชดำริขึ้นอีกว่า สมณะพรามณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต ได้เสวยทุกขเวทนากล้าอันเผ็ดร้อนที่เกิดจากความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ สมณะพรามณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคต ได้เสวยทุกขเวทนากล้าอันเผ็ดร้อนที่เกิดจากความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ แม้สมณะพรามณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ได้เสวยทุกขเวทนากล้าอันเผ็ดร้อนที่เกิดจากความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ จักไม่มากไปกว่านี้ เมื่อพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าการบำเพ็ญทุกกรกิริยานี้ก็ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกได้ พระองค์ก็ทรงรำพึงว่าหรืออาจมีทางอื่นอีกกระมัง
แล้วพระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริขึ้นมาว่า "เราจำได้อยู่ เมื่องานวัปปะมงคลของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้าอันเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานอันมีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้" ด้วยพระราชดำรินี้เองพระองค์ก็ทรงกลับมาเสวยพระกระยาหารหยาบอันมีข้าวสุกและขนมสดเป็นต้น จนเป็นเหตุให้เหล่าปัญจวัคคีย์เข้าใจผิดว่าพระองค์กลับมาเป็นผู้มักมาก เกิดความเบื่อหน่ายแล้วหลีกไป เมื่อพระองค์ได้เสวยกระยาหารแล้วก็กลับมามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง แล้วจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยสมาธิที่พระองค์เคยได้เมื่อตอนยังเป็นพระกุมารนั่งอยู่ที่ใต้โคนต้นหว้านั่นเอง
"โม้มาซะยาวยืด แล้วไงหล่ะ"
อ้าว! ไม่สังเกตูดูหรือไงว่าการที่พระองค์ได้ถึงอรูปฌานขั้นที่ ๘ นั้น ยังไงมันก็ต้องผ่านปฐมฌานไปก่อนอยู่ดี แล้วตอนนั้นทำไมจึงบอกไม่ใช่ทาง แล้วตอนนี้ทำไมบอกนี่แหละทาง คำตอบก็คือก็ตอนนั้นมันเป็น อารัมมณูปนิชฌาน แต่ตอนนี้มันคือ ลักขณูปนิชฌาน ยังไงหล่ะ เข้าใจ๋?
งั้นเดี๋ยวตอนหน้าค่อยมาดูกันต่อนะว่าผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ฌานได้ฤทธิ์แตกต่างกันยังไง พระพุทธองค์ได้ทรงจำแนกประเภทของพระอรหันต์ไว้ยังไงบ้าง
"สพฺเพธมฺมา นาลํ อภืนิเวสาย"
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น"
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น