วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยุคนัทธสูตรทางสี่สายสู่อริยะมรรค


    ก็อย่างที่พุทธบริษัททั้งหลายต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้นั้นมีมากมายไม่มีจบสิ้นเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสั่งสอนนั้นมีนิดหน่อยเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ผู้เขียนขอยกสมมุติเอาเองว่าใบไม้ในกำมือนั้นมีเพียงสี่ใบ ซึ่งใบแรกอุปมาเป็นทุกขสัจจะ ใบที่สองเป็นสมุทยสัจจะ ใบที่สามเป็นนิโรธสัจจะ ใบที่สี่เป็นมัคคสัจจะ ที่เราทั้งหลายต่างก็รู้จักกันดีในนามว่า"จตุราริยสัจ"นั่นเอง

  ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบอริยสัจสี่นี้ว่าเป็นเหมือนรอยเท้าช้าง ที่เป็นสัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุด รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหมดสามารถเอามารวมลงในรอยเท้าของช้างได้ ก็ฉันน์นั้นเหมือนกันว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงพร่ำสอนตั้งแต่ราตรีที่ตรัสรู้ จนถึงราตรีที่ปรินิพพานตลอด๔๕พรรษานั้น ก็รวมลงที่อริยสัจสี่นี้เอง

  ซึ่งผู้ที่รับฟังแล้วนำมาปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนั้นย่อมรู้ได้เฉพาะตน เป็นพยานแก่ตนเองได้โดยอาศัยหลักปริวัฏฏ์๓ อาการ๑๒ คือสัจญาณ๑ กิจญาณ๑ กตญาณ๑
สัจญาณ คือ การหยังรู้ความจริงว่า 
นี้คือทุกข์(ขันธ์๕)
                 นี้คือเหตุแห่งทุกข์(ตัณหา๓)
                 นี้คือความดับทุกข์(นิพพาน)
                              นี้คือทางแห่งความดับทุกข์(มรรค๘)
กิจญาณ คือ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า ทุกข์ควรรู้
       เหตุแห่งทุกข์ควรละ
                   ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้ง
                                  ทางแห่งความดับทุกข์ควรทำให้เจริญ
กตญาณ คือ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ทุกข์ได้รู้แล้ว
              เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
                 ความดับทุกข์ได้แจ้งแล้ว
                                 ทางแห่งความดับทุกข์ได้เจริญแล้ว
และผู้ที่ได้ทำญาณทั้ง๓ต่ออริยสัจ๔ได้บริบูรณ์แล้วนี้ ท่านสมมุติเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ จบกิจในพระพุทธศาสนาสำเร็จแล้วซึ่งประโยชน์ตน เหลือเพียงแต่ประโยชน์ผู้อื่นที่ท่านอาจจะอนุเคราะห์ได้ตามสมควรของแต่ละคนไป