วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อินทิญานสอนลูก






ก่อนอื่นก็ขอกล่าวคำว่าสวัสดี ศิริสวัสพิพัฒธนมงคลกับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความของผู้เขียน แม้จะห่างหายจากการเขียนไปนานระยะหนึ่งแต่ในที่สุดก็ได้กลับมา ซึ่งบทความตอนนี้เป็นสุดยอดวรรณกรรมฝีมือการประพันธ์ระดับบรมครูจากหนังสือผูกตัวอักษรไทยน้อย ที่มีความหนา ๔๖ ลานเท่ากับ ๙๒ หน้าใบลานขนาดยาวหน้าละ ๔ บรรทัด แต่ก็ไม่อาจหาที่มาได้ว่าใครเป็นผู้ประพันธ์ เพราะมีการคัดลอกต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยเนื้อหาจะเป็นคติธรรมที่ใช้สอนผู้คนได้เป็นอย่างดี ส่วนมากจะเน้นไปที่การสอนผู้หญิง ในเนื้อเรื่องได้ปรารภถึงตัวละครชื่อว่า "อินทิญาน" ทำหน้าที่เป็นพ่อ มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อว่า "นันทา" ซึ่งอินทิญานผู้เป็นพ่อนั้นเป็นนักปราชญ์ที่มีความรอบรู้ในสรรพวิชา ที่ได้ชี้แจงผ่านบทประพันธ์อันไพเราะมีความลุ่มลึกสุขุมคัมภีรภาพด้านภาษา เพื่อให้ลูกสาวได้มีความเข้าใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ตลอกจนลัทธิความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามต่างๆ และในตอนท้ายได้มีบทพระเตเมย์ใบ้และปัสเสนที่มีการผูกคำถามและคำตอบเป็นเชิงพุทธพยากรณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าเหตุการณ์หลายๆอย่างได้เกิดขึ้นมาแล้ว กำลังเป็นไปอยู่ และจะค่อยๆเป็นไปในวันข้างหน้า ยังไงก็ขอเชิญทุกท่านได้ทัศนาด้วยปัญญาอันยิ่งของแต่ละท่านดูเถิด

"เตือนสติ"

"บัดนี้ เฮียมจักปรารถนาตั้ง  แปงสารให้เห็นห่าง กระบวนเนอ
พอแต่บักง่ามไว้   แปงท่างใส่ฮาง อุ่นเอ้ย
โอนอ สาวเอ้ยขนบ่ทันปกหน้า  อย่าได้แหมหุนแล่น
ปีกบ่ทันหุ้มก้น  อย่าท้าแต่สิขัน
เขาบ่โซงเพียงด้าม  อย่าแสวหัวแกว่ง
หางไป่ลากกีบน้อย  อย่าป้องแม่เซิง นั้นเนอ"

"ให้เคารพผู้มีพระคุณ"

"บัดนี้ พ่อจักสอนนางน้อย  นันทาให้เจ้าจื่อ เอาเนอ
ให้เจ้าจำคำสอน   จื่อไปเมือหน้า
พ่อหากจุตติแล้ว   ตายไปลดซั่ว
ศรีแจ่มเจ้า   เอาแข่วขอดแหวน พ่อเนอ

อันหนึ่ง คำปากพ่อแม่นี้   หนักเกิ่งธรณี
ไผผู้ยำแยงนพ   หากสิเฮืองเมือหน้า
อันหนึ่ง เฮือไหลแล้ว  ขอนยังดอมท่า
ไฟหากไหม้ป่าไม้ ดอนเนื้อหากสิยัง
อันหนึ่ง สัพพัญญูเจ้า นิรพานลดซั่ว ปางนั้น
ยังแต่ลูกศิษย์แก้ว อานนท์เจ้าสืบมา พ่อแหล้ว
อันหนึ่งคนยอย้อง ปราเกียรติ์ทั้งโลก
ยังเล่ามีพระบาทตั้ง คลองไว้สืบมา"

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สารลึบพระสูรย์

ลึบพระสูรย์


วรรณคดีฝีมือการประพันธ์ระดับบรมครูเรื่อง ลึบพระสูรย์ หรือ ลึบปสูรย์ หรือ ลึบบ่สูญ ฯลฯนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการว่า ใครเป็นผู้ประพันธ์ และประพันธ์ขึ้นในยุคไหน ได้มีการสันนิษฐานกันไปหลากหลายเช่น
  1) เจ้าปางคำ ผู้ครองนครหนองบัวลำพู ผู้ประพันธ์เรื่อง สินไซ (มีอายุราวสามร้อยกว่าปีที่แล้ว)
  2) พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งกรุงเวียงจันทร์องค์สุดท้ายครองราชในปี2348-2371
 3) พระมหาสมณพราหมาจารย์สิบสองกวี ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรล้านช้าง และเป็นที่ปรึกษาในราชสำนักของพระเจ้าอนุวงศ์
 4) นักปราชญ์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงยุคหลังพระเจ้าอนุวงศ์
  ในส่วนของความหมายของชื่อเรื่องนั้นก็ให้ความหมายแตกต่างกันไปเช่น ลึบพระสูรย์ หมายถึง บังพระอาทิตย์ ลึบบ่สูญ หมายถึง ลบไม่หาย เป็นต้น จะยังก็แล้วแต่ก็เอาไว้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ ผู้คักเติบ (ผู้เชี่ยวชาญ)ให้ท่านไปค้นหาเอาความจริงก็แล้วกัน ส่วนในความหมายในเชิงกาพย์กลอนที่เรียกว่า"ผญา"นี้ จริงๆแล้วก็แผลงมาจากรากศัพย์ของบาลีว่า "ปัญญา" ถ้าสันสกฤตก็"ปรัชญา"ซึ่งโดยปกติภาษาลาวมักจะพูดอะไรๆให้ลัดสั้นแต่ยังคงความหมายเดิมเอาไว้ อย่างป.ปลา ก็จะออกเสียงเป็นตัว ผ.ผึ้ง เช่นคำว่า เปรต ภาษาลาวก็จะเรียกว่า "เผด" ฉะนั้นคำว่า"ปัญญา หรือ ปรัชญา"นี้ จึงกลายมาเป็น"ผญา" อย่างที่พวกเรารู้ๆกันนี้เอง ส่วนความหมายก็ตรงตัวอยู่แล้วโดยไม่ต้องแปลให้เสียเวลา เอาหล่ะ!เราไปเข้าสู่เนื้อหาที่มีอยู่สามบั้นกันเลยกันเลยแล้วกัน

บั้นบังระหัส

ดวงนี้ 

ซื่อว่าบุแผ่นธรณีดั้น กุมพระกรกำโฮบ

เกาะกายเกยโลบเลี้ยว สเมรุค้านโค่นคลอน

คะเคื่อนคุงแก่นเหง้า กากาบไกวกะจัด

เสลาเนาภูผา เกลื่อนทะรังทะลายย้อง



อามมเนาแนบพื้น เฟือนฟาดฟองสมุทร

นาโคคะ คาดโฮงฮามย้อง

จักรวาลเหลื้อง คีรีหงวยง่วน

นาคะเฟื่อนฟั่งฟ้าว ฟุ่มเฟื้อแค่เฟือย


วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยุคนัทธสูตรทางสี่สายสู่อริยะมรรค


    ก็อย่างที่พุทธบริษัททั้งหลายต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้นั้นมีมากมายไม่มีจบสิ้นเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสั่งสอนนั้นมีนิดหน่อยเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ผู้เขียนขอยกสมมุติเอาเองว่าใบไม้ในกำมือนั้นมีเพียงสี่ใบ ซึ่งใบแรกอุปมาเป็นทุกขสัจจะ ใบที่สองเป็นสมุทยสัจจะ ใบที่สามเป็นนิโรธสัจจะ ใบที่สี่เป็นมัคคสัจจะ ที่เราทั้งหลายต่างก็รู้จักกันดีในนามว่า"จตุราริยสัจ"นั่นเอง

  ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบอริยสัจสี่นี้ว่าเป็นเหมือนรอยเท้าช้าง ที่เป็นสัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุด รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหมดสามารถเอามารวมลงในรอยเท้าของช้างได้ ก็ฉันน์นั้นเหมือนกันว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงพร่ำสอนตั้งแต่ราตรีที่ตรัสรู้ จนถึงราตรีที่ปรินิพพานตลอด๔๕พรรษานั้น ก็รวมลงที่อริยสัจสี่นี้เอง

  ซึ่งผู้ที่รับฟังแล้วนำมาปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนั้นย่อมรู้ได้เฉพาะตน เป็นพยานแก่ตนเองได้โดยอาศัยหลักปริวัฏฏ์๓ อาการ๑๒ คือสัจญาณ๑ กิจญาณ๑ กตญาณ๑
สัจญาณ คือ การหยังรู้ความจริงว่า 
นี้คือทุกข์(ขันธ์๕)
                 นี้คือเหตุแห่งทุกข์(ตัณหา๓)
                 นี้คือความดับทุกข์(นิพพาน)
                              นี้คือทางแห่งความดับทุกข์(มรรค๘)
กิจญาณ คือ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า ทุกข์ควรรู้
       เหตุแห่งทุกข์ควรละ
                   ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้ง
                                  ทางแห่งความดับทุกข์ควรทำให้เจริญ
กตญาณ คือ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ทุกข์ได้รู้แล้ว
              เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
                 ความดับทุกข์ได้แจ้งแล้ว
                                 ทางแห่งความดับทุกข์ได้เจริญแล้ว
และผู้ที่ได้ทำญาณทั้ง๓ต่ออริยสัจ๔ได้บริบูรณ์แล้วนี้ ท่านสมมุติเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ จบกิจในพระพุทธศาสนาสำเร็จแล้วซึ่งประโยชน์ตน เหลือเพียงแต่ประโยชน์ผู้อื่นที่ท่านอาจจะอนุเคราะห์ได้ตามสมควรของแต่ละคนไป

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

ไม่พัก ไม่เพียร ศิลปะชั้นเลิศแห่งการภาวนา


สำหรับคำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"นี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดีในหมู่ของนักภาวนา เพราะสองคำนี้มีอยู่ใน"โอฆตรณสูตร"พระไตรปิฏกเล่มที่๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรค คือหมวดที่ว่าด้วยต้นอ้อ ที่มีเทวดามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระองค์ทรงข้ามโอฆะ ๔ ได้อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เราเองเมื่อไม่พัก ไม่เพียรจึงข้ามโอฆะได้"
เทวดาทูลถามว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เมื่อไม่พักไม่เพียรทรงข้ามโอฆะได้อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า"ผู้มีอายุ เมื่อใดเรานั้นยังพักอยู่ เมื่อนั้นเราจักจมอยู่ เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เมื่อนั้นเราก็ยังลอยอยู่แน่นอน  เราไม่พัก ไม่เพียรอย่างนี้แล จึงข้ามโอฆะได้"

  จากการปุจฉา วิสัชนากันแค่นี้ปรากฏว่าเทวดานั้นเข้าใจในความหมายของคำว่า"ไม่พัก ไม่เพียร"จึงได้กล่าวบทกลอนชื่นชมแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายตัวไป

  ไม่พักนี่พอเข้าใจ แต่ไม่เพียรนี่สิมันยังไงๆอยู่ เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เคยได้ยินแต่ว่า"คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" ฉะนั้นในการปฏิบัติเราต้องเพียรอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง เราต้องเพียร ฯลฯ 

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๕(ตอนสุดท้าย)


ก็ห่างหายไปจากการเขียนข้อความไปร่วมปีเนื่องจากหลายๆสาเหตุ ซึ่งล้วนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจำเป็นทั้งนั้น จนทำให้ไม่มีเวลาเขียนต่อประกอบกับไม่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์มาร่วมปีแล้วด้วย ช่วงนี้ก็เคลียปัญหาต่างๆไปได้บ้างก็เลยตั้งใจจะกลับมาเขียนต่อและตัดสินใจว่าจะสรุปให้จบในตอนนี้เลย

  ในช่วงที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์ไปแสดงธรรม ณ ที่ต่างในระหว่างปลายปี ๒๕๕๘-ต้นปี ๒๕๕๙ นั้น ผู้เขียนได้ทำเป็นคลิปวีดีโอและอัฟโหลดลงยูทูบช่อง panyawachiro sakyaputto ไว้ประมาณ ๑๓๑ คลิป และได้ทำไฟล์เสียงในรูปแบบ mp3 และไฟล์บีบอัดแบบ .rar ลงไว้ในเวบไซต์ https://sites.google.com/site/dhammawachira/ และได้ทำต้นฉบับเพื่อทำเป็นแผ่น cd โดยได้ร่วมงานกับโยมเหลิม โยมเติ้ล และโยมจูน โดยทำออกมาเป็น cd ๓แผ่นดั่งที่ได้ทำแจกไปแล้ว ส่วนการทำคลิปวีดีโอลงยูทูบกับการทำเวบไซต์นั้น ยอมรับว่าลุยเองคนเดียวแบบมั่วๆ เพราะไม่เคยมีประสพการณ์มาก่อน ทีแรกกะจะทำเป็นแอฟปลิเคชั่นลงในเพลย์สโตร์ ให้ดาวว์โหลดลงมือถือไว้ฟังอีกทางหนึ่ง แต่พอดีหมดสภาพก่อนเพราะช่วงนั้นทุ่มเทกำลังสมองในการทำงานเผยแผ่ธรรมะหนักมาก ประกอบกับโยมพ่อและโยมแม่ก็เจ็บป่วยต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เลยต้องกลับมาอยู่วัดใกล้บ้าน งานทุกอย่างเลยต้องหยุดลงแค่นั้น จนเพิ่งพอมีเวลามาสานต่อนี่แหละ

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๔

 
     ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเอาเรื่องแสงกับเวลามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สภาวะการรู้แบบในๆๆๆ ของจิตกับอารมณ์ ซึ่งเรื่องความเร็วของแสง การยืดหดของเวลาและระยะทางนี้ ก็มีที่มาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของยอดนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวเกิดเมื่อ 14 มีนาคม 2422 ต่อมาได้โอนสัญชาติมาเป็นสวิสเซอร์แลนด์และอเมริกันตามลำดับ โดยเขาได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ คืออธิบายถึงการนำเอากลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และถัดมาอีกห้าปีคือปี 2458 เขาก็ได้นำเสนอทฤษฎีใหม่คือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงที่เป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล เป็นการแง้มประตูแห่งกาลเวลาสู่มิติที่๔  เปรียบเป็นคลื่นลูกที่สามแห่งการพลิกโลกพลิกจักรวาล จากที่ อาร์คีมิดีส และ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ทำไว้ก่อน
 
     และเขายังมีส่วนร่วมในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม ซึ่งทั้งสองทฤษฎีนี้ถือเป็นสุดยอดแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีควอนตัมนั้นสามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กกว่าระดับอะตอมได้ ทำให้นักฟิสิกส์ต่างก็รู้สึกพิศวงงงงวยกับการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอนในอะตอม ที่อิเลกตรอนเพียงตัวเดียวมันสามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งภายในอะตอมได้โดยไม่ต้องผ่านช่องว่างหรือระยะทางภายในนั้น เหมือนมันสร้างปาฏิหาริย์โดยการปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในที่ต่างๆ โดยไม่มีระยะทางและเวลามาเป็นสิ่งขวางกั้น ไอน์สไตน์บอกว่า "มันทำตัวเหมือนปีศาจ" และทฤษฎีนี้เองที่ได้ขับเคลื่อนให้วิทยาศาสตร์ขยับเข้าใกล้ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปทุกทีๆ
   

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๓


   ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้บอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าได้แบ่งพระอรหันต์ไว้กี่ประเภท ได้ฤทธิ์ ได้ฌานแตกต่างกันยังไงโดยจะขอหยิบยกเอาเค้าโครงของเรื่องนี้ ซึ่งมีที่มาจากพระสูตรที่ชื่อว่า "ปวารณาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค" ซึ่งพระสูตรนี้นั้นเกิดขึ้นที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมาตา อันเป็นวันปวารณาคือวันออกพรรษานั่นเอง คำว่า "ปวารณา" ในที่นี้แปลว่า ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติว่า พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบสามเดือนแล้ว ให้กล่าวคำปวารณาเพื่อเปิดโอกาศให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้

   ในครั้งนั้นแล พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่ท่านกลางเหล่าพระภิกษุอรหันตขีสพ ๕oo รูปผู้แวดล้อมอยู่ ประดุจดวงดาราที่รายล้อมอยู่ซึ่งดวงรัชนีกรนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสปวารณาเพื่อให้หมู่ภิกษุติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปของพระองค์ทั้งทางกายและทางวาจา
   ในครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้วกล่าวในทำนองที่ว่า พระองค์คือพระศาสดาผู้ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น บอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้แจ้งในทาง ฉลาดในทาง ตัวท่านและเหล่าสาวกทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เดินตามทางที่พระองค์ได้ทรงบอก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ติเตียนพระองค์ แต่เป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงติเตียนท่านและเหล่าสาวกทั้งหลาย