ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้บอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าได้แบ่งพระอรหันต์ไว้กี่ประเภท ได้ฤทธิ์ ได้ฌานแตกต่างกันยังไงโดยจะขอหยิบยกเอาเค้าโครงของเรื่องนี้ ซึ่งมีที่มาจากพระสูตรที่ชื่อว่า "ปวารณาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค" ซึ่งพระสูตรนี้นั้นเกิดขึ้นที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมาตา อันเป็นวันปวารณาคือวันออกพรรษานั่นเอง คำว่า "ปวารณา" ในที่นี้แปลว่า ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติว่า พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบสามเดือนแล้ว ให้กล่าวคำปวารณาเพื่อเปิดโอกาศให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้
ในครั้งนั้นแล พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่ท่านกลางเหล่าพระภิกษุอรหันตขีสพ ๕oo รูปผู้แวดล้อมอยู่ ประดุจดวงดาราที่รายล้อมอยู่ซึ่งดวงรัชนีกรนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสปวารณาเพื่อให้หมู่ภิกษุติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปของพระองค์ทั้งทางกายและทางวาจา
ในครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้วกล่าวในทำนองที่ว่า พระองค์คือพระศาสดาผู้ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น บอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้แจ้งในทาง ฉลาดในทาง ตัวท่านและเหล่าสาวกทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เดินตามทางที่พระองค์ได้ทรงบอก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ติเตียนพระองค์ แต่เป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงติเตียนท่านและเหล่าสาวกทั้งหลาย
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสในทำนองที่ว่า แม้พระองค์ก็ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆอันเป็นไปในทางกาย หรือทางวาจาของท่านพระสารีบุตรได้ เพราะพระสารีบุตรเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา เป็นผู้มีปัญญาว่องไวหลักแหลม และได้ตรัสอุปมาท่านพระสารีบุตรนั้นเปรียบเหมือน โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ย่อมยังจักรอันพระราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด ท่านพระสารีบุตรก็ฉันนั้น ย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่พระพุทธองค์ให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง ฉันนั้น
ภิกษุ ๕oo รูปแม้นี้ก็เช่นกันพระองค์มิได้ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปในทางกาย หรือทางวาจา เพราะภิกษุ ๖o เป็นผู้ได้วิชชา ๓ อีก ๖o รูปเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ อีก ๖o รูปเป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุต ส่วนที่เหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุต ดังนี้
จากเนื้อหาของพระสูตรนี้จะเห็นได้ว่ามีพระอรหันต์ส่วนน้อยเพียง ๑๘o รูปเท่านั้นที่เส้นทางของท่านเดินมาแบบ "สมถะยานิก" จึงได้ฌานสมาบัติ ส่วนอีก ๓๒o รูปนั้นเส้นทางของท่านเดินมาแบบ "วิปัสสนายานิก" หรือเดินปัญญาล้วนๆ ที่เรียกอีกอย่างว่า "สุขวิปัสสโก" นั่นเอง
เพราะผู้ที่จะได้วิชชา๓ คือ
๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้
๒) จุตูปปาตญาณ รู้เห็นการจุติของทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรมของตน
๓) อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
และอภิญญา๖คือ
๑) อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ต่างๆได้
๒) ทิพพโสต มีหูทิพย์ฟังเสียงต่างๆได้
๓) เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่นได้
๔) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕) ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖) อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
พระอรหันต์ที่ได้วิชชา ๓ และอภิญญา ๖ นั้น ต้องมีบาทฐานมาจากฌานสมาบัติมาก่อน ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องได้จตุตถฌานขึ้นไป ส่วนอุภโตภาควิมุตนั้น ในความหมายคือ "ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน" เส้นทางของท่านคือบำเพ็ญสมถะยานิกมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ๘ แล้วจึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานในการบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนได้บรรลุอรหัตผล การหลุดพ้นในวาระแรกคือหลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ เป็นวิขัมภนะ ปหาน วาระที่สองจึงได้หลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค เป็นสมุจเฉทปหาน บางทีท่านก็เรียกรวมๆกันว่า "เจโตวิมุต ปัญญาวิมุต" ที่ไม่มีการกลับมากำเริบอีก
ส่วนพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตนั้นไม่ได้ฤทธิ์ได้ฌานอะไรเลยหรือ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "ได้" ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมาก็ได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ระดับปฐมฌาน ส่วนใครจะมีความชำนาญในการเข้า ออกได้มากน้อยแค่ไหนอันนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ส่วนเรื่องฤทธิ์นั้นนอกจากผู้ที่ได้ฌานชำนาญในเรื่องธาตุแล้ว ฤทธิ์บางอย่างก็เกิดได้จากแรงอธิษฐานก็มี เพราะฉะนั้นในความหมายของคำว่า "สมาธิบริบูรณ์" ของพระอรหันต์ในที่นี้ จึงไม่เกี่ยวกับว่าเป็นฌานสมาบัติขั้นไหน แต่ที่แน่ๆในความบริบูรณ์นี้คือท่านมีสติที่เป็นไปโดยอัตโนมัต มีความตั้งมั่นไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ชนิดที่ว่ากิเลสตัณหากระทบไม่ถึง เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปปาทานในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วนั่นเอง
สรุปแล้วสมาธิทั้ง "อารัมณูปนิชฌาน และ ลักขณูปนิชฌาน" นี้ถ้าใครสามารถทำได้ทั้งสองอย่างจะดีที่สุด เพราะเป็นสัมมาสมาธิด้วยกันทั้งคู่คือมีสติตามระลึกรู้ได้ตลอด แต่ถ้าทำได้อย่างเดียวก็ขอให้เป็นลักขณูปนิชฌาน เพราะจะเป็นบาทฐานให้เกิดปัญญานำมาซึ่งความพ้นทุกข์ ส่วนมิจฉาสมาธินั้นไม่ต้องพูดถึงนะเพราะเป็นกันมาก เป็นยังไง ถ้าขาดสติก็ถือเป็นมิจฉาสมาธิหมดเลย ประเภทวูบหลับ เบลอๆ ลอยๆนั่นแหละใช่เลย สมาธินี้เป็นของกลางๆนะเกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับจิตที่เป็นอกุศลก็ได้ เช่นเวลานายพรานจะยิงสัตว์นี่ก็ต้องมีสมาธิในการเล็งเป้าหมาย หรือมือปืนจะฆ่าคนนี่ก็ต้องใช้สมาธิในการเล็งเป้าหมายก่อนจะเหนี่ยวไก
ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความแตกต่างของพระอรหันต์ผู้ได้วิชชา๓ หรืออภิญญา๖กันบ้าง ขีดความสามารถของแต่ละท่านก็มีความแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยที่ได้สั่งสมกันมา พระพุทธองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งพระอรหันต์สาวกไว้ในตำแหน่ง "เอตทัคคะ" คือผู้มีความเป็นเลิศในแต่ละด้านไว้หลายตำแหน่ง เฉพาะที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เอกนิบาต อังคุตตรนิกายก็มีเพียง ๔๑ ท่านเท่านั้น ส่วนในคัมภีร์ชั้นหลังๆก็ได้สงเคราะห์เอาภิกษุสหจร คือที่อยู่ร่วมกันในคณะเข้าไปอีกเช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็สงเคราะห์เอาพระที่อยู่ในกลุ่มปัญจวัคคีย์ด้วยกันเข้ามา พระอุรุเวลกัสสป ก็สงเคราะห์เอาพระนทีกัสสป พระคยากัสสปที่เป็นน้องชายของท่านเข้ามา กลุ่มเพื่อนของพระยสะบ้าง กลุ่มของพระโมฆราชบ้าง คือเอาพระเถระที่มีชื่อเสียงมารวมเข้าอีกเลยได้ ๘o ท่านจึงมีชื่อเรียกว่า "อสีติมหาสาวก" แต่จะยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปใส่ใจกันมาก เพราะจุดสำคัญมันอยู่ที่ความเป็นเลิศในแต่ละด้านที่พระพุทธองค์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้วนั้นต่างหาก
นอกจากพระภิกษุแล้วพระพุทธองค์ก็ยังได้ทรงแต่งตั้งภิกษุณีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในด้านต่างๆไว้อีก ๑๓ ท่าน อุบาสกอีก ๑o ท่าน อุบาสิกาอีก ๑o ท่านแต่จะไม่ขอนำมาลงในรายละเอียดนะเดี๋ยวเยอะไป
จึงจะขอยกตัวอย่างฝ่ายพระภิกษุมาสักเล็กน้อยเช่นพระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศด้านแสดงฤทธิ์ พระอนุรุทธะ เป็นผู้เลิศด้านทิพพจักขุ พระสาคตะ เป็นผู้เลิศด้านเตโชสมาบัติ พระจูฬปัณถก เป็นผู้เลิศด้านมโนมยิทธิและเจโตวิวัฏฏ์เป็นต้น แต่ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ควบหลายตำแหน่งเช่น พระอานนท์มีความเป็นเลิศถึง๕อย่าง พระจูฬปัณถกเป็นเลิศ๒อย่างเป็นต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสั่งสมวาสนาบารมีของแต่ละท่านนั้น มีความแตกต่างกันเพราะมีความมุ่งหมายต่างกัน และยังมีพระมหาสาวกอีกหลายท่านมากที่บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา๓ อภิญญา๖ วิโมกข์๘ และปฏิสัมภิทาญาณ๔ แถมทรงพระไตรปิฎกอีกต่างหากเรียกว่าสุดๆแล้ว
แต่อย่าไปคิดอิจฉาท่านเหล่านั้นเลยนะ เพราะกว่าที่ท่านจะได้สิ่งเหล่านี้มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต้องสั่งสมกันมานับแสนๆกัปป์เลยทีเดียว กัปป์หนึ่งในที่นี้หมายเอาตั้งแต่เริ่มมีการตั้งขึ้นของจักรวาล จนจักรวาลนั้นเริ่มเจริญขึ้นมีมีสัตว์มาเกิด มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ จนถึงกาลเสื่อมและจักรวาลนั้นถูกทำลายสิ้นไป อย่างนี้คือ ๑กัปป์ แสนกัปป์ก็คือมีจักรวาลเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปแสนจักรวาลนั่นเอง อย่าถามนะว่ากี่ปี เพราะในกัปป์เดียวนี้ก็ไม่อาจจะนับได้อยู่แล้วว่ามีเท่านั้นปี เท่านี้ปี แต่โดยสรุปแล้วพระอรหันต์ทั้งหมดที่มีมา ที่มีอยู่ และจะมีต่อไปนั้น คือนับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกอรหันต์จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เทียบเท่ากันคือ "ความบริสุทธิ์"
อืมม ว่าจะคุยเรื่องรู้ในๆๆ ทำไมพาผู้อ่านมาซะไกลถึงแสนกัปป์ได้เนี้ย เฮ้ออ นิสัย
เอา หล่ะมาว่ากันให้จบในประเด็นนี้กันเลยดีกว่า เพราะยังเหลืออยู่อีกตั้งหนึ่งประเด็น การรู้ในๆๆของหลวงตาตามที่ผู้เขียนเข้าใจในมุมต่อมาคือ การรู้ที่ประตูใจนี่เอง ก็อย่างที่รู้กันว่าอายตนะทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดผัสสะขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาตามมาอันเป็นวงจรของปฏิจจสมุปบาท เวทนานั้นเป็นสิ่งที่จิตรู้ จึงถือว่าเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่เรามารู้ที่ประตูใจนี่จึงเป็นการรวบยอดแห่งการรู้เอาไว้อย่างแท้จริง อุปมาเหมือนเราจับแหที่จอมก็สามารถดึงรวบมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดายนั่นเอง
และมีอุปมาอีกอย่างหนึ่งคือเหมือนตัวแมงมุมที่ชักใยไว้ แล้วตัวมันก็มาคอยอยู่ตรงกลาง เมื่อเหยื่อคือตัวแมลงอื่นบินมาชนที่เส้นใยก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือน ทำให้แมงมุมนั้นรับรู้ได้เองโดยไม่ต้องไปคอยเดินตระเวนไปตรวจดูทางโน้นทางนี้ให้เหนื่อย แต่ด้วยวิธีนี้ก็ทำให้มันมีอาหารกินได้อย่างง่ายๆสบายๆ
เพียงแต่การรู้ที่ประตูใจนี้หลวงตาท่านเน้นว่าให้ "รู้สักแต่ว่ารู้" คือรู้แล้วปล่อยอย่าจับไว้เพื่อค้นหาเหตุผล รู้แล้วละ รู้แล้ววาง รู้ที่จิต ละที่จิต รู้ในๆๆไปเรื่อยๆจนเป็นปัจจุบันสันตติ เหมือนที่หลวงปูมั่นท่านบอกว่า "รู้ต้นจิต จิตต้นพ้นโหยหวล" ก็คือเมื่อเรารู้ในๆๆอยู่ทุกขณะจนเป็นปัจจุบันสันตติตามความเป็นจริงแล้ว มันจะเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว คือรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีฯ
ขอยืมสำนวนในพระไตรปิฎกมาลงแบบเต็มๆหน่อย เพราะรู้สึกว่าอรรถแห่งถ้อยคำนั้นสะใจดี แต่ถ้าเป็นสำนวนของหลวงตาท่านจะบอกว่าไม่มีผู้เข้าไปยึด เมื่อไม่มีผู้เข้าไปยึด ก็ไม่มีผู้เสวย เมื่อไม่มีผู้เสวย ทุกอย่างก็เกิดดับว่างเปล่า เมื่อทุกอย่างเกิดดับว่างเปล่า ก็ไม่มีใครที่ต้องไปทุกข์ร้อนโหยหวลกับอะไร เพื่อให้เป็นอะไรอีก
มาถึงตรงนี้ผู้เขียนนึกถึงนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ยอดอัจฉริยะผู้มีนามอันระบือไปทั่วโลกว่า "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" โอ้ โห ทำเป็นเท่ห์ความรู้แค่ป.๖เนี้ยนะ จะเขียนเรื่องไอน์สไตน์
ไม่หรอก เราก็เขียนในส่วนที่เราพอจะเขียนได้นั่นแหละ เพราะมันมีบางแง่มุมที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่บอกไว้คือเรื่อง "แสงกับเวลา" ก็เลยเห็นว่าเรื่องนี้มันพอจะเอามาวิเคราะห์ หรืออุปมาให้เข้ากับสภาวะการรู้แบบในๆๆ ของจิต (ผู้รู้) กับอารมณ์ (สิ่งที่ถูกรู้") ได้ เราก็ว่าไปตามสไตล์ของเรานี่แหละ อีกอย่างผู้เขียนก็ไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงอะไรที่ต้องไปคอยห่วงว่าจะเกิดความเสียหาย แต่เขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจในการได้แชร์ความรู้ในเชิงธรรม ผสมผสานความคิดความเห็นในแง่มุมที่เป็นส่วนตัวบ้าง เชิงวิชาการบ้าง ขำๆไปบ้าง ถือเป็นงานอดิเรกผ่อนคลายจากการภาวนา
และในตอนแรกของบทความนี้ผู้เขียนก็ได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่ใช่คนมีความรู้อะไร แต่อาศัยชอบอ่านชอบศึกษาหาความรู้ตามที่พอจะหาได้ ก็เลยทำให้พอมีข้อมูลในการเขียนไปได้เรื่อยๆตามสไตล์ของผู้เขียน ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้วนะถ้าผู้อ่านท่านใดที่ได้ติดตามอ่านบทความนี้มา ตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนนี้นะ ผู้เขียนถือว่า "เรา" เป็นคนกันเอง ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว
คือผู้เขียนมีความลับอัน "ยวดยิ่ง" อยู่บางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน และเก็บไว้นานถึงสามสิบกว่าปีมาแล้วด้วย นี่ถือว่าเป็นคนกันเองนะ ถึงได้ตัดสินใจจะเล่าให้ฟัง
"ก็ว่ามาซี้"
คือในตอนที่ผู้เขียนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่๓ครั้งแรกนะ (สอบตกเลยต้องเรียนซ้ำชั้น) ผู้เขียนมีเพื่อนร่วมห้องอยู่คนหนึ่งมันชื่อว่า "สำลี" ซึ่งบ้านอยู่รั้วติดกันเลย แถมตอนอยู่ในห้องเรียนก็ยังมีที่นั่งอยู่ติดกันอีก สมัยนั้นครูจะเขียนโจทย์คำถามไว้ที่กระดานดำ (แต่จริงๆแล้วกระดานมันสีเขียวนะ ทำถึงเรียกกระดานดำก็ไม่รู้) แล้วครูก็จะให้นักเรียนเขียนคำตอบที่สมุดของใครของมัน แล้วเอาไปให้ครูตรวจ ด้วยความที่ผู้เขียนเรียนโง่มากๆ โดยไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดจากอะไร รู้แต่ว่ามันคิดอะไรไม่ออก จำอะไรก็ไม่ได้ อ่านโจทย์คำถามแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ถามเพื่อนบ่อยๆเข้ามันก็คงรำคาญมั้ง มันเลยไม่บอกซะเลย โดยเฉพาะไอ้เจ้าสำลีที่นั่งอยู่ติดกัน มันจะแสดงความหงุดหงิดใส่ทุกทีแถมขยับห่างออกไปอีก เฮ้ออ ผู้เขียนก็ได้แต่ปลงสังเวชในความบรมโง่ของตัวเอง แต่ก็ไม่ลดละความพยายามนะ เพราะผู้เขียนจะคอยสังเกตุดู พอเจ้าสำลีมันเขียนคำตอบเสร็จ ผู้เขียนจะสวมวิญญาณของยีราฟทันทีโดยพยายามยื่นคอออกไปให้ยาวที่สุด อย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้เพื่อจะดูว่ามันเขียบคำตอบว่ายังไง
แต่เจ้าสำลีมันก็รู้ทัน มันดับความหวังอันสูงสุดและความพยายามอย่างยิ่งยวดของผู้เขียนด้วยการเอามือมาบังไว้เฉยเลย โธ่ เพื่อนนะเพื่อน ไม่น่าทำกับเราอย่างนี้เล้ย
ฮึ! ไม่เป็นไร้ ผู้เขียนปลอบใจตัวเอง แล้วทำเป็นหันไปมองที่กระดานดำทำทีเป็นอ่านคำถามใหม่เพื่อคิดหาคำตอบ เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งมือของมันที่บังไว้เริ่มเคลื่อนออก นิ้วมือเริ่มกางออก ผู้เขียนนึกกระหยิ่มในใจ ฮึ! เสร็จข้าหล่ะ พร้อมกันนั้นก็เริ่มสวมวิญญาณของกิ้งก่า "เวลล์คามิเลี่ยน" ทันที คือไม่หันหน้ามามอง (เดี๋ยวมันรู้ทันอีก) แต่อาศัยการพยายามกรอกลูกตาเลียนแบบกิ้งก่าเวลล์คามิเลี่ยน แบบสุดๆเพื่อจะมองดูผ่านระหว่างนิ้วของมันเพื่อจะดูคำตอบให้ได้ ผู้เขียนพยายามจนปวดลูกตาไปหมดก็ยังไม่ได้คำตอบ สรุปแล้ววันนั้นก็ตอบไปแบบมั่วๆตามเคย แถมตาก็ปวด คอก็เคล็ด เฮ้ออ เพื่อนนะเพื่อน
แต่แล้ววันแห่งฟ้าประทานก็มาถึงจนได้ โดยที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจมากว่า เอ้ ทำไมวันนี้เจ้าสำลีมันจึงใจดีเป็นพิเศษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติแต่วันนี้เจ้าสำลีมันไม่ได้ขยับออกไปห่างเหมือนทุกครั้งที่มีการเขียนคำตอบ แถมไม่ได้เอามือมาปิดไว้เหมือนทุกๆครั้ง คือมันตั้งใจเปิดให้ลอกได้เลย โอ้ เพื่อนไม่ทิ้งเราจริงๆ ผู้เขียนรู้สึกรักมันขึ้นอย่างจับใจ และลอกคำตอบมาแบบเต็มๆคำต่อคำไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว แต่แล้ว สิ่งที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าถึงขนาดทำให้ผู้เขียนต้องกับอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก็เกิดขึ้นจนได้ หลังจากที่มันเปิดให้ผู้เขียนลอกซะเต็มคราบแล้ว มันกลับเอายางลบมาลบคำตอบนั้นแล้วเขียนคำตอบใหม่อย่างหน้าตาเฉย โธ่! ไอ้ๆๆๆ
สรุปแล้วปีนั้นผู้เขียนก็เลยต้องเรียนซ้ำชั้นพร้อมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก ๓ คน ส่วนสำลีกับเพื่อนคนอื่นๆก็เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้นป.๔ กันต่อไป เออ โชคดีนะเพื่อน
"สม...แล้วไง จะเขียนถึงไอน์สไตน์ได้หรือยัง"
โอ เค แต่ต้องเป็นตอนหน้านะ เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป ใจร่มๆเพราะยังจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ถ้ายังติดตามอ่านกันอยู่นะ ผู้เขียนยังมีเรื่องราวอีกบานตะเกียงที่จะนำมาเขียน รับรองว่า โหด มัน ฮา เนื้อหาครบถ้วนเรื่องบันทึกธรรมที่ลำพูนนี้ อาจจะเขียนต่ออีกไม่กี่ตอนก็จะให้จบแล้ว บทความเรื่องต่อไปผู้เขียนได้ตั้งชื่อไว้แล้ว และวางกรอบเค้าโครงของเรื่องไว้คร่าวๆแล้ว จากประสพการณ์ตรงนี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มมองออกบ้างแล้วว่าควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร จะพยายามหาข้อมูลเชิงลึกมานำเสนอ แต่ที่แน่ๆเนื้อหาก็จะอยู่ในกรอบคำสอนของพระบรมศาสดาของพวกเรา ที่ยังมีอีกบางแง่มุมที่ผู้เขียนตัง้ใจอยากจะนำมาเสนอ เพื่อให้ผู้อ่านที่ติดตามกันมาได้ลองมาศึกษากันดู เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึง "อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์" ที่ซ่อนตัวอย่างเงียบกริบอยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์ สมดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า
"พระธรรมนั้นเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้"
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ส่วนพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตนั้นไม่ได้ฤทธิ์ได้ฌานอะไรเลยหรือ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "ได้" ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมาก็ได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ระดับปฐมฌาน ส่วนใครจะมีความชำนาญในการเข้า ออกได้มากน้อยแค่ไหนอันนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ส่วนเรื่องฤทธิ์นั้นนอกจากผู้ที่ได้ฌานชำนาญในเรื่องธาตุแล้ว ฤทธิ์บางอย่างก็เกิดได้จากแรงอธิษฐานก็มี เพราะฉะนั้นในความหมายของคำว่า "สมาธิบริบูรณ์" ของพระอรหันต์ในที่นี้ จึงไม่เกี่ยวกับว่าเป็นฌานสมาบัติขั้นไหน แต่ที่แน่ๆในความบริบูรณ์นี้คือท่านมีสติที่เป็นไปโดยอัตโนมัต มีความตั้งมั่นไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ชนิดที่ว่ากิเลสตัณหากระทบไม่ถึง เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปปาทานในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วนั่นเอง
สรุปแล้วสมาธิทั้ง "อารัมณูปนิชฌาน และ ลักขณูปนิชฌาน" นี้ถ้าใครสามารถทำได้ทั้งสองอย่างจะดีที่สุด เพราะเป็นสัมมาสมาธิด้วยกันทั้งคู่คือมีสติตามระลึกรู้ได้ตลอด แต่ถ้าทำได้อย่างเดียวก็ขอให้เป็นลักขณูปนิชฌาน เพราะจะเป็นบาทฐานให้เกิดปัญญานำมาซึ่งความพ้นทุกข์ ส่วนมิจฉาสมาธินั้นไม่ต้องพูดถึงนะเพราะเป็นกันมาก เป็นยังไง ถ้าขาดสติก็ถือเป็นมิจฉาสมาธิหมดเลย ประเภทวูบหลับ เบลอๆ ลอยๆนั่นแหละใช่เลย สมาธินี้เป็นของกลางๆนะเกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับจิตที่เป็นอกุศลก็ได้ เช่นเวลานายพรานจะยิงสัตว์นี่ก็ต้องมีสมาธิในการเล็งเป้าหมาย หรือมือปืนจะฆ่าคนนี่ก็ต้องใช้สมาธิในการเล็งเป้าหมายก่อนจะเหนี่ยวไก
ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความแตกต่างของพระอรหันต์ผู้ได้วิชชา๓ หรืออภิญญา๖กันบ้าง ขีดความสามารถของแต่ละท่านก็มีความแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยที่ได้สั่งสมกันมา พระพุทธองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งพระอรหันต์สาวกไว้ในตำแหน่ง "เอตทัคคะ" คือผู้มีความเป็นเลิศในแต่ละด้านไว้หลายตำแหน่ง เฉพาะที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เอกนิบาต อังคุตตรนิกายก็มีเพียง ๔๑ ท่านเท่านั้น ส่วนในคัมภีร์ชั้นหลังๆก็ได้สงเคราะห์เอาภิกษุสหจร คือที่อยู่ร่วมกันในคณะเข้าไปอีกเช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็สงเคราะห์เอาพระที่อยู่ในกลุ่มปัญจวัคคีย์ด้วยกันเข้ามา พระอุรุเวลกัสสป ก็สงเคราะห์เอาพระนทีกัสสป พระคยากัสสปที่เป็นน้องชายของท่านเข้ามา กลุ่มเพื่อนของพระยสะบ้าง กลุ่มของพระโมฆราชบ้าง คือเอาพระเถระที่มีชื่อเสียงมารวมเข้าอีกเลยได้ ๘o ท่านจึงมีชื่อเรียกว่า "อสีติมหาสาวก" แต่จะยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปใส่ใจกันมาก เพราะจุดสำคัญมันอยู่ที่ความเป็นเลิศในแต่ละด้านที่พระพุทธองค์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้วนั้นต่างหาก
นอกจากพระภิกษุแล้วพระพุทธองค์ก็ยังได้ทรงแต่งตั้งภิกษุณีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในด้านต่างๆไว้อีก ๑๓ ท่าน อุบาสกอีก ๑o ท่าน อุบาสิกาอีก ๑o ท่านแต่จะไม่ขอนำมาลงในรายละเอียดนะเดี๋ยวเยอะไป
จึงจะขอยกตัวอย่างฝ่ายพระภิกษุมาสักเล็กน้อยเช่นพระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศด้านแสดงฤทธิ์ พระอนุรุทธะ เป็นผู้เลิศด้านทิพพจักขุ พระสาคตะ เป็นผู้เลิศด้านเตโชสมาบัติ พระจูฬปัณถก เป็นผู้เลิศด้านมโนมยิทธิและเจโตวิวัฏฏ์เป็นต้น แต่ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ควบหลายตำแหน่งเช่น พระอานนท์มีความเป็นเลิศถึง๕อย่าง พระจูฬปัณถกเป็นเลิศ๒อย่างเป็นต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสั่งสมวาสนาบารมีของแต่ละท่านนั้น มีความแตกต่างกันเพราะมีความมุ่งหมายต่างกัน และยังมีพระมหาสาวกอีกหลายท่านมากที่บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา๓ อภิญญา๖ วิโมกข์๘ และปฏิสัมภิทาญาณ๔ แถมทรงพระไตรปิฎกอีกต่างหากเรียกว่าสุดๆแล้ว
แต่อย่าไปคิดอิจฉาท่านเหล่านั้นเลยนะ เพราะกว่าที่ท่านจะได้สิ่งเหล่านี้มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต้องสั่งสมกันมานับแสนๆกัปป์เลยทีเดียว กัปป์หนึ่งในที่นี้หมายเอาตั้งแต่เริ่มมีการตั้งขึ้นของจักรวาล จนจักรวาลนั้นเริ่มเจริญขึ้นมีมีสัตว์มาเกิด มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ จนถึงกาลเสื่อมและจักรวาลนั้นถูกทำลายสิ้นไป อย่างนี้คือ ๑กัปป์ แสนกัปป์ก็คือมีจักรวาลเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปแสนจักรวาลนั่นเอง อย่าถามนะว่ากี่ปี เพราะในกัปป์เดียวนี้ก็ไม่อาจจะนับได้อยู่แล้วว่ามีเท่านั้นปี เท่านี้ปี แต่โดยสรุปแล้วพระอรหันต์ทั้งหมดที่มีมา ที่มีอยู่ และจะมีต่อไปนั้น คือนับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกอรหันต์จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เทียบเท่ากันคือ "ความบริสุทธิ์"
อืมม ว่าจะคุยเรื่องรู้ในๆๆ ทำไมพาผู้อ่านมาซะไกลถึงแสนกัปป์ได้เนี้ย เฮ้ออ นิสัย
เอา หล่ะมาว่ากันให้จบในประเด็นนี้กันเลยดีกว่า เพราะยังเหลืออยู่อีกตั้งหนึ่งประเด็น การรู้ในๆๆของหลวงตาตามที่ผู้เขียนเข้าใจในมุมต่อมาคือ การรู้ที่ประตูใจนี่เอง ก็อย่างที่รู้กันว่าอายตนะทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดผัสสะขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาตามมาอันเป็นวงจรของปฏิจจสมุปบาท เวทนานั้นเป็นสิ่งที่จิตรู้ จึงถือว่าเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่เรามารู้ที่ประตูใจนี่จึงเป็นการรวบยอดแห่งการรู้เอาไว้อย่างแท้จริง อุปมาเหมือนเราจับแหที่จอมก็สามารถดึงรวบมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดายนั่นเอง
และมีอุปมาอีกอย่างหนึ่งคือเหมือนตัวแมงมุมที่ชักใยไว้ แล้วตัวมันก็มาคอยอยู่ตรงกลาง เมื่อเหยื่อคือตัวแมลงอื่นบินมาชนที่เส้นใยก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือน ทำให้แมงมุมนั้นรับรู้ได้เองโดยไม่ต้องไปคอยเดินตระเวนไปตรวจดูทางโน้นทางนี้ให้เหนื่อย แต่ด้วยวิธีนี้ก็ทำให้มันมีอาหารกินได้อย่างง่ายๆสบายๆ
เพียงแต่การรู้ที่ประตูใจนี้หลวงตาท่านเน้นว่าให้ "รู้สักแต่ว่ารู้" คือรู้แล้วปล่อยอย่าจับไว้เพื่อค้นหาเหตุผล รู้แล้วละ รู้แล้ววาง รู้ที่จิต ละที่จิต รู้ในๆๆไปเรื่อยๆจนเป็นปัจจุบันสันตติ เหมือนที่หลวงปูมั่นท่านบอกว่า "รู้ต้นจิต จิตต้นพ้นโหยหวล" ก็คือเมื่อเรารู้ในๆๆอยู่ทุกขณะจนเป็นปัจจุบันสันตติตามความเป็นจริงแล้ว มันจะเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว คือรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีฯ
ขอยืมสำนวนในพระไตรปิฎกมาลงแบบเต็มๆหน่อย เพราะรู้สึกว่าอรรถแห่งถ้อยคำนั้นสะใจดี แต่ถ้าเป็นสำนวนของหลวงตาท่านจะบอกว่าไม่มีผู้เข้าไปยึด เมื่อไม่มีผู้เข้าไปยึด ก็ไม่มีผู้เสวย เมื่อไม่มีผู้เสวย ทุกอย่างก็เกิดดับว่างเปล่า เมื่อทุกอย่างเกิดดับว่างเปล่า ก็ไม่มีใครที่ต้องไปทุกข์ร้อนโหยหวลกับอะไร เพื่อให้เป็นอะไรอีก
มาถึงตรงนี้ผู้เขียนนึกถึงนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ยอดอัจฉริยะผู้มีนามอันระบือไปทั่วโลกว่า "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" โอ้ โห ทำเป็นเท่ห์ความรู้แค่ป.๖เนี้ยนะ จะเขียนเรื่องไอน์สไตน์
ไม่หรอก เราก็เขียนในส่วนที่เราพอจะเขียนได้นั่นแหละ เพราะมันมีบางแง่มุมที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่บอกไว้คือเรื่อง "แสงกับเวลา" ก็เลยเห็นว่าเรื่องนี้มันพอจะเอามาวิเคราะห์ หรืออุปมาให้เข้ากับสภาวะการรู้แบบในๆๆ ของจิต (ผู้รู้) กับอารมณ์ (สิ่งที่ถูกรู้") ได้ เราก็ว่าไปตามสไตล์ของเรานี่แหละ อีกอย่างผู้เขียนก็ไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงอะไรที่ต้องไปคอยห่วงว่าจะเกิดความเสียหาย แต่เขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจในการได้แชร์ความรู้ในเชิงธรรม ผสมผสานความคิดความเห็นในแง่มุมที่เป็นส่วนตัวบ้าง เชิงวิชาการบ้าง ขำๆไปบ้าง ถือเป็นงานอดิเรกผ่อนคลายจากการภาวนา
และในตอนแรกของบทความนี้ผู้เขียนก็ได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่ใช่คนมีความรู้อะไร แต่อาศัยชอบอ่านชอบศึกษาหาความรู้ตามที่พอจะหาได้ ก็เลยทำให้พอมีข้อมูลในการเขียนไปได้เรื่อยๆตามสไตล์ของผู้เขียน ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้วนะถ้าผู้อ่านท่านใดที่ได้ติดตามอ่านบทความนี้มา ตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนนี้นะ ผู้เขียนถือว่า "เรา" เป็นคนกันเอง ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว
คือผู้เขียนมีความลับอัน "ยวดยิ่ง" อยู่บางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน และเก็บไว้นานถึงสามสิบกว่าปีมาแล้วด้วย นี่ถือว่าเป็นคนกันเองนะ ถึงได้ตัดสินใจจะเล่าให้ฟัง
"ก็ว่ามาซี้"
คือในตอนที่ผู้เขียนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่๓ครั้งแรกนะ (สอบตกเลยต้องเรียนซ้ำชั้น) ผู้เขียนมีเพื่อนร่วมห้องอยู่คนหนึ่งมันชื่อว่า "สำลี" ซึ่งบ้านอยู่รั้วติดกันเลย แถมตอนอยู่ในห้องเรียนก็ยังมีที่นั่งอยู่ติดกันอีก สมัยนั้นครูจะเขียนโจทย์คำถามไว้ที่กระดานดำ (แต่จริงๆแล้วกระดานมันสีเขียวนะ ทำถึงเรียกกระดานดำก็ไม่รู้) แล้วครูก็จะให้นักเรียนเขียนคำตอบที่สมุดของใครของมัน แล้วเอาไปให้ครูตรวจ ด้วยความที่ผู้เขียนเรียนโง่มากๆ โดยไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดจากอะไร รู้แต่ว่ามันคิดอะไรไม่ออก จำอะไรก็ไม่ได้ อ่านโจทย์คำถามแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ถามเพื่อนบ่อยๆเข้ามันก็คงรำคาญมั้ง มันเลยไม่บอกซะเลย โดยเฉพาะไอ้เจ้าสำลีที่นั่งอยู่ติดกัน มันจะแสดงความหงุดหงิดใส่ทุกทีแถมขยับห่างออกไปอีก เฮ้ออ ผู้เขียนก็ได้แต่ปลงสังเวชในความบรมโง่ของตัวเอง แต่ก็ไม่ลดละความพยายามนะ เพราะผู้เขียนจะคอยสังเกตุดู พอเจ้าสำลีมันเขียนคำตอบเสร็จ ผู้เขียนจะสวมวิญญาณของยีราฟทันทีโดยพยายามยื่นคอออกไปให้ยาวที่สุด อย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้เพื่อจะดูว่ามันเขียบคำตอบว่ายังไง
แต่เจ้าสำลีมันก็รู้ทัน มันดับความหวังอันสูงสุดและความพยายามอย่างยิ่งยวดของผู้เขียนด้วยการเอามือมาบังไว้เฉยเลย โธ่ เพื่อนนะเพื่อน ไม่น่าทำกับเราอย่างนี้เล้ย
ฮึ! ไม่เป็นไร้ ผู้เขียนปลอบใจตัวเอง แล้วทำเป็นหันไปมองที่กระดานดำทำทีเป็นอ่านคำถามใหม่เพื่อคิดหาคำตอบ เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งมือของมันที่บังไว้เริ่มเคลื่อนออก นิ้วมือเริ่มกางออก ผู้เขียนนึกกระหยิ่มในใจ ฮึ! เสร็จข้าหล่ะ พร้อมกันนั้นก็เริ่มสวมวิญญาณของกิ้งก่า "เวลล์คามิเลี่ยน" ทันที คือไม่หันหน้ามามอง (เดี๋ยวมันรู้ทันอีก) แต่อาศัยการพยายามกรอกลูกตาเลียนแบบกิ้งก่าเวลล์คามิเลี่ยน แบบสุดๆเพื่อจะมองดูผ่านระหว่างนิ้วของมันเพื่อจะดูคำตอบให้ได้ ผู้เขียนพยายามจนปวดลูกตาไปหมดก็ยังไม่ได้คำตอบ สรุปแล้ววันนั้นก็ตอบไปแบบมั่วๆตามเคย แถมตาก็ปวด คอก็เคล็ด เฮ้ออ เพื่อนนะเพื่อน
แต่แล้ววันแห่งฟ้าประทานก็มาถึงจนได้ โดยที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจมากว่า เอ้ ทำไมวันนี้เจ้าสำลีมันจึงใจดีเป็นพิเศษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติแต่วันนี้เจ้าสำลีมันไม่ได้ขยับออกไปห่างเหมือนทุกครั้งที่มีการเขียนคำตอบ แถมไม่ได้เอามือมาปิดไว้เหมือนทุกๆครั้ง คือมันตั้งใจเปิดให้ลอกได้เลย โอ้ เพื่อนไม่ทิ้งเราจริงๆ ผู้เขียนรู้สึกรักมันขึ้นอย่างจับใจ และลอกคำตอบมาแบบเต็มๆคำต่อคำไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว แต่แล้ว สิ่งที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าถึงขนาดทำให้ผู้เขียนต้องกับอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก็เกิดขึ้นจนได้ หลังจากที่มันเปิดให้ผู้เขียนลอกซะเต็มคราบแล้ว มันกลับเอายางลบมาลบคำตอบนั้นแล้วเขียนคำตอบใหม่อย่างหน้าตาเฉย โธ่! ไอ้ๆๆๆ
สรุปแล้วปีนั้นผู้เขียนก็เลยต้องเรียนซ้ำชั้นพร้อมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก ๓ คน ส่วนสำลีกับเพื่อนคนอื่นๆก็เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้นป.๔ กันต่อไป เออ โชคดีนะเพื่อน
"สม...แล้วไง จะเขียนถึงไอน์สไตน์ได้หรือยัง"
โอ เค แต่ต้องเป็นตอนหน้านะ เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป ใจร่มๆเพราะยังจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ถ้ายังติดตามอ่านกันอยู่นะ ผู้เขียนยังมีเรื่องราวอีกบานตะเกียงที่จะนำมาเขียน รับรองว่า โหด มัน ฮา เนื้อหาครบถ้วนเรื่องบันทึกธรรมที่ลำพูนนี้ อาจจะเขียนต่ออีกไม่กี่ตอนก็จะให้จบแล้ว บทความเรื่องต่อไปผู้เขียนได้ตั้งชื่อไว้แล้ว และวางกรอบเค้าโครงของเรื่องไว้คร่าวๆแล้ว จากประสพการณ์ตรงนี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มมองออกบ้างแล้วว่าควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร จะพยายามหาข้อมูลเชิงลึกมานำเสนอ แต่ที่แน่ๆเนื้อหาก็จะอยู่ในกรอบคำสอนของพระบรมศาสดาของพวกเรา ที่ยังมีอีกบางแง่มุมที่ผู้เขียนตัง้ใจอยากจะนำมาเสนอ เพื่อให้ผู้อ่านที่ติดตามกันมาได้ลองมาศึกษากันดู เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึง "อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์" ที่ซ่อนตัวอย่างเงียบกริบอยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์ สมดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า
"พระธรรมนั้นเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้"
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น