วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๑

ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว หลังจากที่หลวงตาเจอคำถามจากครูบาธีระทำเอาท่านสะดุดกึกไปหน่อยนึงจากที่ท่านพูดอธิบายสภาวะธรรมด้วยเสียงที่ห้าวหาญมาตลอด ท่านก็ได้ตอบคำด้วยนำเสียงที่ลดความห้าวหาญลงมานิดหน่อยว่า
 "เรารู้ผิดรู้ถูกเราก็รู้ไปเถ้อะ อย่าทิ้งรู้"
ครูบาธีระได้พูดแทรกรับเพื่อสำทับในคำถามขึ้นอีกว่า
 "จะพยายามสร้างกำลังใจขึ้นมาครับ"
หลวงตาท่านจึงได้พูดเสริมต่อขึ้นอีกว่า
 "คือมันไม่ใช่ว่ามีใครรู้ถูกเลยหรอก มันก็รู้ผิดๆถูกๆ แต่อย่าทิ้งรู้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเองแหละ"
ครูบาธีระจึงรับว่า
 "อือ ครับ อย่าทิ้งรู้ รู้ถูกรู้ผิดรู้ไปก่อน"
พระอาจารย์เชาว์ก็ได้ตอบรับขึ้นมาว่า
 "ทำได้ครับ อย่างนั้นได้"
หลวงตาก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า

 "รู้ถูกรู้ผิดก็ให้รู้ไปเลย รู้ไปในทุกขณะปัจจุบัน เดี๋ยวมันเข้าใจเองแต่พอไปทิ้งรู้เสียแล้วมันเลยไม่รู้อะไรจริงๆเลยตอนเนี้ย"
ครูบาธีระพูดรับขึ้นด้วยนำเสียงออกอาการเซ็งๆนิดๆว่า
 "เราไปเบื่อ ไปเซ็ง ไปอะไรก็เลย เฮ้ยย เดี๋ยวค่อยดูแล้วกัน"
พระอาจารย์เชาว์ก็พูดเสริมขึ้นมาในทำนองว่าเห็นด้วยในคำพูดของครูบาธีระ ทำนองว่าเรามันหัวอกเดียวกัน หลวงตาท่านก็เลยยกตัวอย่างอธิบายเสริมขึ้นอีกว่า
 "เหมือนในทางโลกที่คนเขาหัดขับรถ หัดเล่นกีฬาหรือหัดเล่นดนตรีประเภทอะไรต่างๆเนี้ย เขาก็เบื่อแต่เขาก็ว่าเล่นไปเห้อะ เพียรไม่เลิกเดี๋ยวมันก็เก่งจนได้แหละ เหมือนถ้าเราไปเลิกรู้เสียแล้วเราจะรู้ได้ไง"
 มาถึงตรงนี้พระอาจารย์เชาว์ได้พูดขึ้นมาว่า
 "ตอนที่ผมเลิกก็ตอนเดียวคือตอนที่มันเพ่งไปแล้ว เราอยากไปรู้ให้ถี่ขึ้นเราก็เลยไปจ้องจิต พอมันเพ่งผมก็เลยต้องหยุดให้มันหายเพ่ง"
หลวงตาท่านตอบว่า
 "ไมใช่ อย่างนั้นท่านก็เลยไม่เข้าใจเลยทีนี้"
พระอาจารย์เชาว์ตอบว่า
 "ก็มันปวดหัวแล้วมันก็ต้องหยุดครับ"
หลวงตาท่านก็แก้ว่า
 "ไม่ใช่ เพราะท่านไปเห็นว่าผู้เพ่งเนี้ยเป็นตัวเรา แล้วใครหล่ะที่มารู้ว่าเราเป็นผู้เพ่ง ท่านเลยเหลือว่าเราเป็นผู้เพ่งอีก ท่านไม่มีปัญญาตรงนี้ไงว่า อ้าว! แล้วใครมารู้ว่าไอ้ตัวนี้เพ่ง ท่านไม่ปิ้งตรงนี้เองต่างหาก"
พระอาจารย์เชาว์ก็รับว่า
 "ครับคงใช่"
                                                                 หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย

ทีนี้เหมือนหลวงตาท่านได้ทีเลยขี่ม้าไล่ยำใหญ่เลย คือท่านได้อธิบายซ้ำอีกยืดยาวว่า
 "พอท่านไปยึดเอาผู้เพ่งเป็นตัวเรา ผู้รู้เป็นตัวเรา ทั้งที่ผู้รู้มันเป็นธรรมชาติ งั้นผู้รู้มันจึงเครียดไม่ได้ ผู้รู้มันปวดหัวไม่ได้ ผู้รู้มันตึงไม่ได้ ผู้รู้มันแสดงอาการจดจ่อไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย แล้วที่ท่านบอกเมื่อกี้นี้ว่าผมมีความรู้สึกว่าตัวเราเนี้ยเพ่งมากเกินไป ไอ้ที่ตัวเราเพ่งมากเกินไปเนี้ยไม่ใช่ผู้รู้ ยิ่งท่านเลิกปึ๊บท่านเลยเอาไอ้ตัวที่เพ่งผู้รู้เนี้ย เป็นตัวเราเลย ท่านบอก ตัวเราแย่แล้ว ตัวเราที่เพ่งผู้รู้อยู่เนี้ย มันปวดหัวแล้ว แสดงว่าในใจของท่านตั้งสมมุติฐานไว้ผิดตลอดเวลาว่า ผู้เพ่งผู้รู้เป็นตัวเรา แท้จริงแล้วถ้าท่านมีปัญญาปิ้งตรงนั้นขึ้นมาว่า แล้วใครหล่ะที่มารู้ว่าเราเพ่งจนตึง ไอ้ที่เพ่งจ้องอยู่เนี้ยใครที่มารู้ กิริยาอาการเพ่งจ้องมันหาใช่ตัวเราไม่ แต่มันยังมีสิ่งที่อยู่เหนือตัวที่เพ่งจ้องขึ้นไปอีก คือมันมารู้ว่าตัวนี้กำลังเพ่งจ้องอยู่ นั่นแหละคือพุทธะหรือธาตุรู้โดยธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน ตัวนั้นจึงไม่มีเหนื่อย ไม่มีเครียด ไม่มีตึง แต่ท่านมาเอาตัวที่เหนื่อย ตัวที่เพ่ง ตัวที่ตึงเป็นตัวท่านซะ มันก็เลยมาตายอยู่แค่อวิชชา คือเอาผู้เพ่ง ผู้เครียด ผู้ตึงมาเป็นตัวท่าน มันไม่เลยไปอีก เข้าใจไหมหล่ะ"
หลวงตาอธิบายมาถึงตรงนี้ครูบาธีระจึงถามขึ้นมาว่า
 "ผู้รู้ตัวนี้ ใช่ตัวที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่าพบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้มั้ย"
หลวงตาท่านก็รับว่า
 "ที่ท่านบอกว่าพบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ก็คือ ตัวที่เอาตัวเราไปเพ่ง ไปจ้องจนเหนื่อย จนเครียด จนตึงนี้แหละให้ฆ่า ทำลายมัน ฆ่าตัวนี้แล้วจึงจะไปเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะหรือธรรมชาติของธาตุรู้ หรือนิพพานธาตุหรือจิตเดิมแท้"
ครูบาธีระจึงมีคำถามเพื่อตอกย้ำความเข้าใจของท่านเพิ่มขึ้นอีกว่า
 "ในขณะที่เรายังไม่ถึง เราก็ยังต้องอาศัยตัวนี้ไปก่อนใช่มั้ยครับ ตัวที่ทำให้เราเหนื่อเนี้ย"
หลวงตาท่านก็รับว่า
 "ใช่ๆ ก็ที่เราบอกว่ารู้ผิดรู้ถูกก็ให้รู้ไปก่อน ต้องอาศัยตัวนี้ที่ทำให้เราเหนื่อยนี่แหนะ เราต้องอาศัยตัวนี้ไป คือถ้าท่านไม่ทิ้งไม่ขว้างนะ ในการที่รู้ทุกขณะจิตปัจจุบันรู้ผิดรู้ถูกก็รู้ไปเหอะ  รู้ในๆๆนะ  ไม่ใช่รู้ผิดนอกๆไปตะพึดตะพือนะ รู้ในๆๆตรงที่ผู้รู้เนี้ย  ไอ้ผู้รู้ที่พอมันรู้อะไรแล้ว มันก็เอามาปรุงแต่งคิดนึกตรึกตรอง มันจะมีการวิเคราะห์วิจารณ์วิจัยตลอด ท่านก็รู้ตรงผู้รู้เนี้ย อย่าไปรู้แต่อาการที่ถูกรู้ ให้รู้แต่ตัวเราผู้รู้ คือรู้ตัวในๆๆเนี้ยเสมอ ท่านจะมีการหลงถลำเอาตัวเราไปเป็นผู้รู้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะมันจะเข้าใจได้เองว่าเราเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้แล้วมันจะละไป คือเราต้องไปพบเสียก่อนว่าเราเอาตัวเราไปเป็นผู้รู้มันจึงจะละได้ แล้วเราจึงจะไปพบสิ่งที่เหนือเราขึ้นไปคือธรรมชาติธาตุรู้ เป็นพุทธะหรือจิตเดิมแท้ที่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ที่เป็นขันธ์ห้าที่คอยพยายามปรุงแต่งเป็นตัวรู้ไว้"
มาถึงตรงนี้ครูบาธีระจึงมีคำถามขึ้นอีกว่า(ชักเริ่มได้ใจใหญ่ เพราะจากคำถามก่อนหน้าดูเหมือนจะเริ่มหล่อขึ้นเรื่อยๆจนใกล้จะเป็นพระเอกอย่างเต็มความภาคภูมิอีกครั้งอยู่แล้ว)
 "คือหลวงพ่อสุจินต์ท่านบอกว่าถ้าเป็นมหาสติ มหาปัญญา กิเลสกองเท่าภูเขาก็พังทะลายไม่มีเหลือ นี่คือตัวธาตุรู้ใช่มั้ย"
หลวงตาหยุดยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแล้วจึงตอบพอสรุปใจความได้ว่า
 "คือถ้าจะเป็นมหาสติ มหาปัญญาท่านจะต้องรู้ให้ถูกมาตั้งแต่แรก คือรู้ในๆๆ แต่ถ้าท่านรู้แต่อาการที่ถูกรู้คือรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์ภายนอกชั้นเดียว การรู้แบบนั้นมันเป็นการส่งจิตออกนอก ถึงจะบอกว่าเป็นมหาสติ มหาปัญญา แต่ถ้าเจตนาตั้งขึ้นมาเพื่อจะรู้แบบนั้นมันก็ยังไม่ใช่ เพราะมันเป็นการส่งจิตออกนอก อาการที่ถูกรู้เมื่อกี้มันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ตัวเราที่กำลังพยายามตั้งเจตนาที่จะรู้อยู่นี่เป็นปัจจุบัน คือถ้ารู้ในๆๆที่เป็นปัจจุบันขณะอย่างนี้ถึงจะใช่"
การปุจฉาวิสัชนาดำเนินมาถึงตรงนี้พระอาจารย์จึงมีคำถามแทรกขึ้นมาว่า
 "ผมขอย้อนไปตรงคำถามพบผู้รู้หน่อยครับ ช่วงนี้เราทำลายเลยไหมครับหรือว่าทำลายทีหลัง"
หลวงตาตอบเร็วเลยว่า
 "ท่านเข้าใจเรื่องทำลายผู้รู้ผิดไปแล้ว"
พระอาจารย์เชาว์ก็รับอย่างเร็วเหมือนกันว่า
 "ครับผมเข้าใจผิด"
หลวงตาก็สำทับทันทีเหมือนกันว่า
 "เข้าใจผิดคือท่านจะไปทำลายให้มันหมดไปเลยมันไม่ใช่"
พระอาจารย์เชาว์รีบรับทันทีว่า
 "อย่างนั้นผมเข้าใจแล้วครับ"
หลวงตาเสริมต่อทันทีว่า
 "มันรู้อยู่เราก็แค่อาศัยมันเป็นเครื่องรู้ แต่ไม่เอามันมาเป็นเครื่องยึดนั่นแหละคือการทำลายผู้รู้ ถ้าทิ้งมันไปเลยอย่างนั้นไม่ใช่"
พระอาจารย์เชาว์รีบรับว่า
 "อย่างนั้นคำถามนี้ผมเข้าใจแล้ว ผมขอถามว่า ผมต้องพลิกความเข้าใจให้ได้ตอนรู้ผู้เพ่งใช่ไหมครับ ช่วงที่เพ่งอยู่ผมต้องพลิกให้ได้ว่ามันมีผู้รู้มารู้ผู้เพ่ง"
หลวงตาสวนเร็วเลยว่า
 "ท่านต้องเกิดปัญญาปิ้งขึ้นมาว่า อ้าว แล้วผู้รู้มันมีปวดหัวด้วยเหรอ ผู้รู้มันมีตึงด้วยเหรอ ผู้รู้ไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมเราต้องไปช่วยผู้รู้ไม่ให้มันเพ่ง พอเรารู้สึกเพ่งปึ๊บเรากลัวเราจะเป็นอะไร เราก็รีบพลิกหนีไป เลิกรู้ อันนี้เราเอาตัวเราแท้ๆยึดเป็นตัวเป็นตนเลย เพราะเราไม่มีปัญญาเท่าทันมารู้ตรงนี้"
พระอาจารย์เชาว์สวนเร็วด้วยเสียงที่เริ่มแข็งขึ้นเลยว่า
 "คือผมไม่ได้กลัวว่าจิตผมจะเสียหายหรอกครับ แต่หัวมันปวด"(ตามด้วยเสียงหัวเราะลอดไรฟันออกมา)
หลวงตาสวนได้เร็วกว่าอีกว่า
 "ไอ้นี่ไง ที่ท่านบอกว่าไม่กลัว แต่ที่บอกว่าหัวมันปวดนี่ไง คือเรารักตัวเราเอง แต่เราไม่เดินหน้าต่อ การเดินหน้าต่อก็ต้องเดินแบบมีปัญญานะ ไม่ใช่ไปเพ่งอัดไว้จนปวดหัวเพิ่มขึ้นแบบนั้นไม่ใช่นะ คือผมต้องการพูดให้ท่านมีปัญญาว่า"
พระอาจารย์เชาว์รับด้วยเสียงเย็นลงมาว่า
 "ครับๆ"
หลวงตาก็รีบเสริมต่อว่า
 "เราอย่าไปพลิกหนี"
ครูบาธีระซึ่งนั่งฟังอยู่คงเห็นบรรยากาศตึงๆ แล้วเริ่มผ่อนลงจึงได้พูดแทรกเสริมขึ้นมาว่า
 "ให้รู้ใน รู้ใน รู้ใน" (อืม หล่อขึ้นมาอีกบานตะเกียงเลย ใช้ได้ๆ)
หลวงเองก็รีบเสริมรับด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจว่า
 "เอ้อ ให้รู้ใน รู้ใน นี่ผมพูดมาตั้งนานท่านก็ยังไม่เข้าใจ"
   จากนั้นท่านก็ได้อธิบายเพิ่มอีกยืดยาวพอจะจับใจความได้ว่า การที่พระอาจารย์เชาว์ไปเห็นกิริยาอาการต่างๆแล้วบางทีก็เบลอๆไป จากนั้นก็เริ่มเพ่งเพื่อให้เห็นได้ชัด แต่พอเพ่งมากๆเข้าก็เกิดมีอาการแทรกซ้อนทางร่างกายคือปวดหัวซ้ำเข้ามาอีก ทีนี้ก็เลยพลิกหนีไปคือเลิกรู้ไปเลย ตรงนี้เลยกลายเป็นความผิดพลาดจากการที่ท่านให้มารู้ในๆๆ แต่พระอาจารย์เชาว์กลับมาหยุดอยู่ตรงอาการที่ตัวเองปวดหัว คือเอาตัวเองไปเป็นผู้ปวดหัวแทนที่จะรู้ในๆๆเข้ามาโดยเห็นว่าตัวนี้มันกำลังปวดหัว มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้อยู่ มันจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา คือทำให้สภาวะมันกลับข้างกันไปคนละทาง เลยตันอยู่แค่นั้น ไปต่ออีกไม่ได้ เพราะในความหมายของคำที่ท่านอธิบายย้ำๆหลายๆครั้งนั้น จะเห็นได้ว่าคำพูดของท่านนั้นยึดมั่นอยู่ในหลักการเดิมไม่เปลี่ยน คือผู้รู้ หรือพุทธะ หรือจิตเดิมแท้ หรือธาตุรู้ มันไม่มีตัวตน แต่คุณสมบัติในความเป็นธาตุของมันคือ "รู้" มันจึงปวดหัวไม่ได้ มันจึงเครียดไม่ได้ มันจึงเพ่งไม่ได้ มันจึง ฯลฯ แต่ที่พระอาจารย์เชาว์พยายามพูดถึงอาการที่ท่านเป็น (เข้าใจว่าคงเป็นมานานแล้ว) ท่านก็คงมีความประสงค์อยากจะให้หลวงตาท่านช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุ และช่วยแก้ไขให้ในขั้นตอนที่ฟังง่ายๆเข้าใจง่ายๆ คล้ายๆมีธงมาแล้วว่าน่าจะประมาณนี้ (อันนี้ผู้เขียนวิเคราะห์เองจากที่วันนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และจากการที่ได้เปิดฟังไฟล์เสียงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ)
   ผู้เขียนจะขออุปมาจากคำปุจฉาวิสัชนาธรรมกันในวันนั้นประมาณนี้ คือไม่ว่าใครจะมีคำถามมาในแง่ไหนระดับใด หลวงตาท่านก็จะชี้ไปที่ยอดเจดีย์อย่างเดียว ถามแล้วถามอีก ท่านก็ชี้แล้วชี้อีกอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีคำถามมาในระดับที่ว่า ฐานเจดีย์จะก่อยังไง ขึ้นรูปแบบไหน ต้องทำมุมโค้งหรือมุมเหลี่ยมดี ใช้วัสดุอะไร แกะลายยังไง พอได้แค่นี้แล้วยังไงต่อ ใช้สีทนได้หรือสีอะไรทาดี หรือจะลงรักปิดทองดี ฯลฯ หลวงตาท่านก็จะยืนยันเหมือนเดิมคือ "โน่นยอดเจดีย์อยู่โน่น มามัวทำอะไนอยู่ตรงนี้" อะไรประมาณนี้
   ถ้าใครที่ติดตามอ่านบทความนี้มาตั้งแต่ตอนแรกๆ ก็จะเป็นที่รู้ได้เลยเพราะผู้เขียนเคยบอกไว้แล้วว่าธรรมะของท่านมันเป็นประเภทจิตสู่จิต ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีขั้นตอนอะไรให้เยิ่นเย้อ แค่คอยหมั่นตามรู้ตามดูอย่างที่มันเป็น แบบในๆๆ ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง หรือฮู้ ซือ ซือ อย่างที่ได้อธิบายไว้แล้วในตอนก่อนนั่นแหละ ก็อาจสามารถประจักษ์แจ้งได้ด้วยใจแบบฉับพลันทันที ถ้าไม่มัวคิดมากอยู่ งั้นขอถามหน่อย
 "ถ้าอย่างนี้แสดงว่าไอ้คนเขียนก็บรรลุแล้วสิ"
 "เปล่า"
 "ทำไม่หล่ะ"
 กล้าถามก็กล้าตอบ
 "ก็มัวแต่คิดมากเหมือนคนอื่นๆอยู่นั่นแหละ แถมมีธงปักไว้อีกว่า ถามอย่างนี้แล้ว ท่านต้องตอบอย่างนี้ แต่พอท่านไม่ตอบตามธงที่ได้ตั้งไว้ ก็ยังมีเถียงในใจแถมปฏิฆะท่านซ้ำเข้าไปอีก"
 อ้าว! อย่างนี้ก็บาปหน่ะสิ มันเป็นมโนกรรมแล้ว
 "ใช่ เป็นมโนกรรมไม่รู้วิบากจะมาถึงเมื่อไหร่"
    ก็อย่างที่พระอาจารย์เชาว์เป็น ท่านเองก็มีอาการอึ๊กอั๊กกับหลวงตาอยู่บ้างประปราย สำหรับผู้เขียนเองบอกตรงๆว่าอยู่ใกล้ท่านนานๆ ก็จะยิ่งมีมโนกรรมมาก เลยต้องหลบฉากออกมาบ้าง พอได้จังหวะแล้วค่อยแว๊บเข้าไปอีกที อย่างนี้จะดีกว่า งั้นขอถามอีก
 "รู้อย่างนี้แล้วทำไมไม่แก้ไขที่ตัวเองหล่ะ"
 "ถ้ามันยอมให้แก้ง่ายอย่างนั้นมันก็ดีสิ เพราะมันสะสมสันดานแบบนี้มาหลายภพหลายชาติแล้ว อยู่ๆจะให้ยอมง่ายๆ เชอะ! ฝันไปเถอะ"
 "รู้ว่าไม่ดีแท้ๆ ทำไมยังรั้นอยู่หล่ะ"
 "จะให้ตอบ ตรงๆจากใจจริงเลยมั้ย"
 "ตอบสิ ฟังอยู่"
 "งั้นมาตกลงกันก่อนว่ารู้แล้วจะไม่เอาไปบอกคนอื่นต่อ และห้ามหัวเราะด้วย"
 "หน้าบางเหรอ"
 "แหะๆ ใช่"
 "โอ เค รับปากแล้วเชิญตอบ"
 "เพราะว่ามันยัง "โง่" อยู่หน่ะสิ แจ่มมั้ย จะได้เลิกถาม"
   ถูกแล้วโง่มากก็ทุกข์มาก เลิกโง่ก็เลิกทุกข์ เพราะยังมีอวิชชาอยู่เราจึงโง่ แต่คำนี้ฟังดูแล้วมันไม่ค่อยสุภาพแต่ความหมายของคำมันตรงดี "วิชชา" แปลว่ารู้ ถ้า "อวิชชา" ก็แปลว่าไม่รู้ ทำไมจึงไม่รู้ ก็โง่อยู่ไงหล่ะ เอาหล่ะจบได้แล้ว บทความตอนนี้อาจดูว่ามาแปลกๆกว่าตอนก่อนๆ ก็มีเหตุผลหลายอย่างเช่นเรื่องราวที่ปุจฉาวิสัชนากันมันดำเนินมาถึงความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยพยายามแกะคำถามคำตอบแบบคำต่อคำมาให้อ่านกันบ้าง เผื่ออาจทำให้ผู้ที่ติดตามอ่านมีความเข้าใจในธรรมลึกซึ้งมากขึ้น
   อีกอย่างก็อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการอ่านให้มันมีหลายๆอรรถรส หลายแง่หลายมุม แต่เหตุผลก็เหมือนเดิมคือเผื่ออาจทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในธรรมได้ปราณีตยิ่งขึ้น
   อีกอย่างก็อยากดัดนิสัยผู้เขียนเองที่ชอบออกนอกลู่นอกทาง พาผู้อ่านแวะโน่นแวะนี่ขี้โม้ไปเรื่อย ชอบเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาอธิบายซึ่งก็ไม่รู้ถูกต้องแค่ไหน
 "อ้าว! ยอมรับอย่างนี้ก็แสดงว่ารู้ไม่จริงหน่ะสิ"
 "ใช่"
 "แล้วเขียนทำไม"
 "มีเจตนาอย่างเดียวคืออยากเผยแผ่ธรรมเท่าที่ตัวเองรู้และพอทำได้ เผื่อมีใครมาอ่านเจออาจปิ้งขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้ แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนได้รับประโยชน์ก่อนใครๆ เพราะการจะอธิบายถึงสภาวะธรรมต่างๆมีหลายครั้งมากที่มันต้องมีความชัดแจ้งในใจขึ้นมาก่อนจริงๆ จึงจะกล้าเขียนลงไป แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่จำมาจากการอธิบายไว้ของครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนนับถือ"
   เพราะฉะนั้นคำว่า "เข้าใจ" ในที่นี้จึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าใจจริงๆมากที่สุด เพราะความหมายของคำก็บอกตรงๆอยู่แล้วว่า "เข้าใจ" แต่ถ้ายังไม่ "เข้าใจ" ก็ให้มันเข้าไปจำไว้ในสมองก็ยังดี
                                                                    สติมโต สุเว เสยฺโย
                                                           คนมีสติ เป็นผู้ประเสริฐทุกวัน
                                                            (สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)
                                                             ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต
                                                                ๒๔ เมษายน ๒๕๕๙




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น