วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๔
ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเอาเรื่องแสงกับเวลามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สภาวะการรู้แบบในๆๆๆ ของจิตกับอารมณ์ ซึ่งเรื่องความเร็วของแสง การยืดหดของเวลาและระยะทางนี้ ก็มีที่มาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของยอดนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวเกิดเมื่อ 14 มีนาคม 2422 ต่อมาได้โอนสัญชาติมาเป็นสวิสเซอร์แลนด์และอเมริกันตามลำดับ โดยเขาได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ คืออธิบายถึงการนำเอากลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และถัดมาอีกห้าปีคือปี 2458 เขาก็ได้นำเสนอทฤษฎีใหม่คือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงที่เป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล เป็นการแง้มประตูแห่งกาลเวลาสู่มิติที่๔ เปรียบเป็นคลื่นลูกที่สามแห่งการพลิกโลกพลิกจักรวาล จากที่ อาร์คีมิดีส และ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ทำไว้ก่อน
และเขายังมีส่วนร่วมในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม ซึ่งทั้งสองทฤษฎีนี้ถือเป็นสุดยอดแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีควอนตัมนั้นสามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กกว่าระดับอะตอมได้ ทำให้นักฟิสิกส์ต่างก็รู้สึกพิศวงงงงวยกับการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอนในอะตอม ที่อิเลกตรอนเพียงตัวเดียวมันสามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งภายในอะตอมได้โดยไม่ต้องผ่านช่องว่างหรือระยะทางภายในนั้น เหมือนมันสร้างปาฏิหาริย์โดยการปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในที่ต่างๆ โดยไม่มีระยะทางและเวลามาเป็นสิ่งขวางกั้น ไอน์สไตน์บอกว่า "มันทำตัวเหมือนปีศาจ" และทฤษฎีนี้เองที่ได้ขับเคลื่อนให้วิทยาศาสตร์ขยับเข้าใกล้ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปทุกทีๆ
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๓
ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้บอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าได้แบ่งพระอรหันต์ไว้กี่ประเภท ได้ฤทธิ์ ได้ฌานแตกต่างกันยังไงโดยจะขอหยิบยกเอาเค้าโครงของเรื่องนี้ ซึ่งมีที่มาจากพระสูตรที่ชื่อว่า "ปวารณาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค" ซึ่งพระสูตรนี้นั้นเกิดขึ้นที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมาตา อันเป็นวันปวารณาคือวันออกพรรษานั่นเอง คำว่า "ปวารณา" ในที่นี้แปลว่า ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติว่า พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบสามเดือนแล้ว ให้กล่าวคำปวารณาเพื่อเปิดโอกาศให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้
ในครั้งนั้นแล พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่ท่านกลางเหล่าพระภิกษุอรหันตขีสพ ๕oo รูปผู้แวดล้อมอยู่ ประดุจดวงดาราที่รายล้อมอยู่ซึ่งดวงรัชนีกรนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสปวารณาเพื่อให้หมู่ภิกษุติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปของพระองค์ทั้งทางกายและทางวาจา
ในครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้วกล่าวในทำนองที่ว่า พระองค์คือพระศาสดาผู้ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น บอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้แจ้งในทาง ฉลาดในทาง ตัวท่านและเหล่าสาวกทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เดินตามทางที่พระองค์ได้ทรงบอก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ติเตียนพระองค์ แต่เป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงติเตียนท่านและเหล่าสาวกทั้งหลาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)