ผู้เขียนเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่า
“ในโลกนี้คนส่วนมากจะหลับไหลทั้งที่กายตื่น” ทีแรกก็ยังนึกค้านๆอยู่เหมือนกัน
เพราะตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ไปทำโน่น ทำนี่ทั้งวัน
กลับมาบ้านตอนเย็นจนถึงนอนหลับอีกครั้งนั่นก็คือเราตื่นโดยตลอดอยู่แล้ว
คือเข้าใจว่าถ้าร่างกายไม่หลับก็คือเราตื่นอยู่ แต่กลับไม่ใช่เพราะคำว่า “ตื่น”
ของท่านหมายถึงความมีสติที่เป็น “สัมมาสติ” คือสติ
ในสติปัฏฐาน ที่เรามีสติในการดำเนินชีวิตไปได้ในแต่ละวันนั้น อันนี้เป็นเพียงสติพื้นฐานที่มีเอาไว้ใช้ในทางโลกๆ ซึ่งทุกคนต่างก็มีเหมือนๆกัน แต่ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงตื่นจากการนอนขึ้นมาแล้วก็หลงต่อเลย แถมยังเป็นการหลงที่ยาวเสียด้วยคือ “ตั้งแต่ตื่น ยันหลับ” เรียกว่าหลงวันละครั้ง ฟังดูดีนะ “หลงวันละครั้ง” หลงยังไง ก็หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปในการถูกสัมผัสทางกาย และตัวร้ายที่สุดคือหลงไปคิดปรุงแต่งทางใจ ตามีหน้าที่แค่เห็นรูป แต่ตัวที่ตัดสินว่าเป็นรูปอะไร งามไม่งาม ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าของใจ หูก็มีหน้าแค่ฟังเสียงเพราะไม่เพราะ ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าที่ของใจ โดยเฉพาะจมูกนะพอได้ดมกลิ่นที่หอมแล้วชื่นชอบ แทนที่จะบอกว่า “หอมชื่นจมูก” กลับไปบอกว่า “อืมมม หอมมม ชื่นใจ” (อ้าว เป็นงั้นไป)
ซึ่งอายตนะที่เหลือทั้งหมดก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าอินทรีย์ ที่แปลว่าความเป็นใหญ่ คือมีความเป็นใหญ่เฉพาะหน้าที่ของตนๆไป เพราะฉะนั้นช่องทางแห่งความหลงที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดก็คือทางใจนี่เอง ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง ฯลฯ แต่ใจกลับสามารถปรุงแต่งรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัสขึ้นมาได้เองแบบไม่น่าเชื่อ ก็โดยอาศัย สัญญา เวทนา และวิตกเป็นตัวทำงานคือช่วยกันปรุงจิตสังขารขึ้นมานั่นเอง ไม่เชื่อลองหลับตาแล้วนึกถึงรูปอะไรก็ได้ที่เราชอบที่สุดขึ้นมาสิ รูปนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาทันทีแถมยังให้ผลเป็นเวทนาคือสุขทุกข์ชอบไม่ชอบได้เหมือนๆกัน ถ้าผู้เขียนจะทดลองเพื่อให้ผู้อ่านได้พิสูจน์โดยผ่านการอ่านตามตัวอักษรแล้วแปลความหมายออกเป็นภาพตามแบบสดๆเลยนะ ดูว่าแต่ละคนจะปรุงได้พิศดารแค่ไหน ก็จะขอยกเอาบทกลอนที่พระมหามนตรี(ทรัพย์)แต่งไว้ในช่วงสมัยรัชกาลที่๓ คือเรื่อง “ระเด่นลันได” เป็นบทตอนที่กล่าวชมโฉมนางประแดะผู้มีความงามอันสุดลึกล้ำ ยากที่หญิงใดในปฐพีนี้จะเทียบได้เกินจะหาคำมาเสกสรรบรรยายถึงความงดงามของเธอ ลองนึกตามดูนะว่าจะสวยแค่ไหน “สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
ในสติปัฏฐาน ที่เรามีสติในการดำเนินชีวิตไปได้ในแต่ละวันนั้น อันนี้เป็นเพียงสติพื้นฐานที่มีเอาไว้ใช้ในทางโลกๆ ซึ่งทุกคนต่างก็มีเหมือนๆกัน แต่ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงตื่นจากการนอนขึ้นมาแล้วก็หลงต่อเลย แถมยังเป็นการหลงที่ยาวเสียด้วยคือ “ตั้งแต่ตื่น ยันหลับ” เรียกว่าหลงวันละครั้ง ฟังดูดีนะ “หลงวันละครั้ง” หลงยังไง ก็หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปในการถูกสัมผัสทางกาย และตัวร้ายที่สุดคือหลงไปคิดปรุงแต่งทางใจ ตามีหน้าที่แค่เห็นรูป แต่ตัวที่ตัดสินว่าเป็นรูปอะไร งามไม่งาม ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าของใจ หูก็มีหน้าแค่ฟังเสียงเพราะไม่เพราะ ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าที่ของใจ โดยเฉพาะจมูกนะพอได้ดมกลิ่นที่หอมแล้วชื่นชอบ แทนที่จะบอกว่า “หอมชื่นจมูก” กลับไปบอกว่า “อืมมม หอมมม ชื่นใจ” (อ้าว เป็นงั้นไป)
ซึ่งอายตนะที่เหลือทั้งหมดก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าอินทรีย์ ที่แปลว่าความเป็นใหญ่ คือมีความเป็นใหญ่เฉพาะหน้าที่ของตนๆไป เพราะฉะนั้นช่องทางแห่งความหลงที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดก็คือทางใจนี่เอง ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง ฯลฯ แต่ใจกลับสามารถปรุงแต่งรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัสขึ้นมาได้เองแบบไม่น่าเชื่อ ก็โดยอาศัย สัญญา เวทนา และวิตกเป็นตัวทำงานคือช่วยกันปรุงจิตสังขารขึ้นมานั่นเอง ไม่เชื่อลองหลับตาแล้วนึกถึงรูปอะไรก็ได้ที่เราชอบที่สุดขึ้นมาสิ รูปนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาทันทีแถมยังให้ผลเป็นเวทนาคือสุขทุกข์ชอบไม่ชอบได้เหมือนๆกัน ถ้าผู้เขียนจะทดลองเพื่อให้ผู้อ่านได้พิสูจน์โดยผ่านการอ่านตามตัวอักษรแล้วแปลความหมายออกเป็นภาพตามแบบสดๆเลยนะ ดูว่าแต่ละคนจะปรุงได้พิศดารแค่ไหน ก็จะขอยกเอาบทกลอนที่พระมหามนตรี(ทรัพย์)แต่งไว้ในช่วงสมัยรัชกาลที่๓ คือเรื่อง “ระเด่นลันได” เป็นบทตอนที่กล่าวชมโฉมนางประแดะผู้มีความงามอันสุดลึกล้ำ ยากที่หญิงใดในปฐพีนี้จะเทียบได้เกินจะหาคำมาเสกสรรบรรยายถึงความงดงามของเธอ ลองนึกตามดูนะว่าจะสวยแค่ไหน “สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดั่งลูกยอ
คิ้งก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี”
เอาหล่ะนะ
ใครจะนึกมโนภาพได้ดีแค่ไหนก็อยู่ที่ข้อมูลเก่าคือสัญญา เอามาเทียบกับข้อมูลใหม่
คือเสียงอ่านที่ก้องอยู่ในโสตของแต่ละคน แต่ผู้เขียนเชื่อว่ายิ่งใครนึกภาพได้ใกล้เคียงแค่ไหนคนนั้นก็ย่อมมีรอยยิ้มมากขึ้นแค่นั้น
เพราะนางประแดะสวยมากๆ ถึงขนาดต้องแย่งกันถึงขึ้นโรงขึ้นศาลเลยที่เดียว (<__>) เอาหล่ะ ทีนี้เสียงก็เช่นกันใจสามารถปรุงขึ้นมาเองได้โดยใช้ข้อมูลเก่าที่เก็บสะสมไว้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีผลสืบเนื่องไปเป็นเวทนาได้เหมือนๆกัน
สมัยเป็นฆราวาสผู้เขียนเป็นคนชอบเสียงเพลงชอบร้องเพลงมาก บางวันมันก็ปรุงแต่งเสียงเพลงออกมาได้อย่างพิษดารพันลึกจนบางครั้งเกิดซาบซึ้งในสิ่งที่ตัวเองปรุงแต่งขึ้นมาจนขนลุกขนพองน้ำตาซึมขึ้นมาได้เฉยเลย
และอีกอย่างที่เป็นกันมากคือการปรุงแต่งขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งรูป เสียง กลิ่น
รส สัมผัสเรียกว่าครบวงจรเลยทีเดียวโดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบดูพวกละครหลังข่าวที่เป็นละครประเภทน้ำไม่ค่อยดี
ดูแล้วก็เอามาปรุงแต่งอินเข้าไปในอารมณ์โดยปรุงไปว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำจากคนรอบข้าง
ถูกกลั่นแกล้งอย่างนั้น ถูกดุถูกด่าอย่างนี้ทั้งที่เราก็ดีแสนดี
ไม่เคยตอบโต้ใครเลย เป็นผู้มีจิตใจดีงามเลิศล้ำเหนือพรรณา แล้วก็ไหลเข้าไปในอารมณ์ทำจิตเศร้าๆเคล้าน้ำตาน่าสงสารเป็นที่ยิ่ง
ยังกับนางเอกในละคร คือปรุงเลียนแบบจากละครแล้วเอาตัวเข้าไปเป็นซะเอง
ถ้าแบบนี้ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่ากำลังฝึกให้ตัวเองตกนรกอยู่
ถ้าใครชอบเป็นแบบนี้อยู่ก็เลิกเสียเพราะจิตเศร้าๆก็คือจิตเป็นอกุศล
ถ้าทำบ่อยๆมันก็เคยชินเมื่อมันเคยชินมันก็จะกลับเข้าไปได้ง่าย ก็ให้กลับออกมาอยู่กับความรู้สึกตัวคือจิตไหลไปให้รู้ทัน
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ฯลฯ ก็ให้รู้ทัน
ทำให้การภาวนามันกลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
หลายคนยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่มากเลยว่าการปฏิบัติ การภาวนาก็คือการสวดมนต์
การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ (เท่านั้น) ถ้านอกเหนือจากนั้นไม่ใช่การปฏิบัติ
ตรงนี้เป็นการเข้าใจผิดแบบมหันต์เลยทีเดียว
เพราะยิ่งเป็นฆราวาสมีหน้าที่ต้องทำมาหากินมีภาระมากมายที่ต้องรับผิดชอบ
แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาสวดมนต์ มาเดินจงกรม มานั่งสมาธิได้ขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นเราก็เอาเวลาทั้งหมดตั้งแต่ตื่นจากที่นอนจนถึงนอนหลับอีกครั้งนี่แหละมาภาวนา
จะว่าไปแล้วเป็นฆราวาสถ้าภาวนาเป็นนะ จะได้เปรียบพระตรงที่มันมีการกระทบกระทั่งกระชากอารมณ์แบบแรงๆได้มากกว่าเป็นพระ
เพราะกิเลสที่ดูง่ายที่สุดก็คือโทสะ (บอกอย่างนี้ไม่ใช่ให้ไปหาเรื่องกับคนข้างๆนะ)
มีใครมาพูดให้เราไม่ดี
มาทำกิริยาท่าทางกวนๆ หรือการทำธุรกิจบางอย่างที่ต้องมาเจอคู่แข่งประเภทแค่เห็นหน้ามันก็สุดจะทนแล้ว
หรือแม้แต่ลูกค้าที่ชอบงี่เง่ากับเราอยู่เรื่อยๆอะไรประมาณนี้ พอเราได้รับการกระทบกระทั่งจากเหมือนๆที่ยกตัวอย่างมานะ
ให้สังเกตุดูความโกรธนี่มันจะผุดขึ้นมาจากกลางอก แล้วดันขึ้นมาที่ลิ้นปี่ จากนั้นมันก็จะพุ่งขึ้นมาที่หน้า
ที่เรียกกันว่าเลือดขึ้นหน้านั่นแหละ บรรพบุรุษของพวกเรานี่เก่งนะสามารถบัญญัติศัพท์ได้ตรงสภาวะตามความเป็นจริงได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
(อ้าว นอกเรื่องอีกแล้ว) ก็ให้เรามีสติรู้ให้ทันมันตั้งแต่ที่มันเริ่มผุดขึ้นมาที่กลางอกเลย
มันจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ คือพอเรามีสติรู้ทันปุ๊บ มันจะดับปั๊บแบบทันทีทันใด
ณ บัดเดี๋ยวนั้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือกิเลสทุกตัวแหละถ้าเรามีสติตัวจริงคือ
“สัมมาสติ” ที่เป็นไปในสติปัฏฐาน ๔ ตัวไหนก็ได้มันจะดับกิเลสได้ทุกตัว
แต่จะเกิดอีกหรือไม่
เมื่อไหร่อันนี้ก็แล้วแต่ปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นตัวปรุงแต่งใหม่
ซึ่งหน้าที่ของเราก็คือให้รู้ทันเข้าไปเรื่อยๆเหมือนอย่างที่หลวงตาท่านบอกว่า
“ให้รู้ในๆๆเข้ามาเรื่อยๆ”นั่นแหละ ผู้เขียนได้สังเกตุดูสภาวะของตัวหลงกับตัวรู้
แล้วลองนึกเปรียบเทียบเอาเองว่าตัวรู้คือพุทธะ ตัวหลงคือมาร
เวลาที่มารเข้ามากลั่นแกล้งพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกก็ตาม
พระพุทธเจ้าไม่ต้องทำอะไรมากเลยแค่บอกว่า “มารเรารู้จักท่าน” แค่นี้มารก็จะเกิดความอายก้มหน้า
ซบเซาหมดปฏิภานและต้องรีบหนีไปทันที ถ้าจะพูดตามประสาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆก็คือมารมัน
“ชอบคนรู้ใจ แต่ไม่ชอบให้ใครรู้ทัน” ผู้เขียนเคยอ่านพระสูตรในพระไตรปิฎกโดยเฉพาะใน
“สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มารสังยุต” ซึ่งได้รวบรวมเรื่องที่มารเข้ามาผจญเอาไว้หลายเรื่อง
จะขอยกพระสูตรสั้นๆซึ่งเรื่องนี้เเกิดขึ้นในตอนต้นๆของการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธองค์
ในขณะนั้นได้มีพระอรหันต์เกิดในโลก ๖oรูป ไม่รวมพระพุทธเจ้า
คือ พระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะกุลบุตร ๑ เพื่อนของพระยสะอีก๕๔รูป โดยพระพุทธองค์ได้ส่งอรหันต์สาวกทั้ง
๖oรูปไปประกาศเผยแผ่พระศาสนา เรื่องมีอยู่ว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย" ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้ไปด้วยกัน ๒ รูปโดยทางเดียวกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บรบูรณ์สิ้นเชิงสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมรอบ ผู้รู้ทั่วถึงธรรมย่อมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม" ครั้งนั้นแลมารผู้มีบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า "ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยเครื่องพันธนาการณ์อันใหญ่ ดูก่อนสมณ ท่านจักไม่พ้นไปจากวิสัยของเราได้" ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่านี่คือมารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า "เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องพันธนาการณ์อันใหญ่ ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว" ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไป ณ ที่นั้นเองฯ (ทุติยปาสสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค) เห็นไหมหล่ะว่ามารมันหน้าบางจะตาย
ต่อให้มีฤทธิ์มากแค่ไหนก็เถอะ เจอดอกนี้เข้าไปก็หางจุกตูดแบบไม่เหลียวหลังเลยที่เดียว แต่ก็เผลอไม่ได้นะเดี๋ยวเดียวมันอาจย่องกลับมาอีก ซึ่งกิเลสเองก็เหมือนกันเด๊ะเลย
แค่รู้ทันก็เกินพอแต่ถ้าเหม่อ เผลอ เพลินอีกเมื่อไหร่ก็เสร็จมันเหมือนกัน ทีนี้มาดูถ้าตอนที่ความโกรธมันผุดขึ้นที่กลางอกยังไม่ทันก็ไม่เป็นไร
ก็มารู้ให้ทันตอนมันดันมาถึงลิ้นปี่เอา ถ้ายังไม่ทันอีกแสดงว่าสติเรายังอ่อนอยู่สู้แรงของโทสะยังไม่ได้
ทีนี้ด่านสุดท้ายแล้วนะถ้ามันดันขึ้นมาถึงหน้าเมื่อไหร่ต้องเอาให้อยู่นะ
เพราะถ้ายังไม่ทันอีกผู้เขียนขอแนะนำให้คนที่อยู่ใกล้ๆรีบเผ่นเถอะ (อ้าว
นึกว่าจะมีเคล็ดลับดีอุตส่าห์ติดตามอ่าน) มีสิไม่งั้นจะร่ายยาวมาทำไม เคล็ดลับก็คือ
“ศิล๕” ยังไงหล่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเราต้องรักษาศิลของเราเอาไว้ให้ดี
จะถูกแรงของโทสะบีบคั้นแค่ไหนก็อย่าให้มันล้นออกมาทางวาจา
หรือทางกายกำลังจะด่าก็ต้องหยุดให้ได้ กำลังจะเงื้อมือก็ต้องเอาให้อยู่ไม่งั้น….ก็เอาไว้ต่อกันตอนหน้านะเดี๋ยวจะยาวเกินไป
"ขโณ โวมา อุปปัจคา" ขอขณะอย่าได้ล่วงท่านไป สาธุ
ปัญญาวชิโร ศากยะปุตโต๒oมีนาคม ๒๕๕๙
"ขโณ โวมา อุปปัจคา" ขอขณะอย่าได้ล่วงท่านไป สาธุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น