ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้วที่ได้แกะคำสนทนากันระหว่างหลวงตากับเหล่าลูกศิษย์แบบคำต่อคำมาลงให้อ่านกัน ก็ไม่รู้ว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ตามเจตนาของผู้เขียนหรือเปล่า
แต่ผู้เขียนพอจับประเด็นหลักๆได้อยู่ ๒ เรื่อง เพราะฉะนั้นในตอนนี้ผู้เขียนจึงอยากหยิบเอาทั้ง ๒ ประเด็นนั้นมาขยายเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ได้เคยพูดถึงไว้แล้วเมื่อตอนก่อนๆ เพียงแต่ว่ามันมีบางแง่มุมที่ยังไม่ได้พูดถึงเท่านั้นเอง
ประเด็นแรกคือคำพูดของหลวงตาที่ว่าให้ "รู้ในๆๆ" ในความหมายที่ผู้เขียนเข้าใจคือท่านให้เราตามรู้ตามดูกิริยาอาการที่เกิดขึ้นทางประตูใจ โดยให้รู้ซื่อๆอย่างที่มันเป็น ไม่มีการเข้าไปจัดการหรือแทรกแซง ให้เป็นผู้รู้ ผู้ดูที่ดีที่สามารถรู้เห็นเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนเป็นปัจจุบันขณะๆไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและมีความเที่ยงธรรมคือมีความเป็นกลางๆในทุกสภาวะประกอบพร้อมลงในปัจจุบันขณะ พร้อมทั้งที่รู้นั้นก็ให้ละ ให้วางไปด้วย คงปล่อยให้ทุกสภาวะที่ได้รับรู้รับทราบแล้วนั้นไหลผ่านไปๆ เป็นอดีตแบบทันทีทันใด ส่วนเราก็ยืนหยัดอยู่กับปัจจุบันสันตติสืบต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าสภาวะใดจะเกิดขึ้นก็ให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ดู ที่ดี มีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ในทุกๆสภาวะ คือให้เราท่องเอาไว้เลยว่า "ถึงจะหลังพิงฝา ข้าก็จะรู้"
วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559
บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๑
ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว หลังจากที่หลวงตาเจอคำถามจากครูบาธีระทำเอาท่านสะดุดกึกไปหน่อยนึงจากที่ท่านพูดอธิบายสภาวะธรรมด้วยเสียงที่ห้าวหาญมาตลอด ท่านก็ได้ตอบคำด้วยนำเสียงที่ลดความห้าวหาญลงมานิดหน่อยว่า
"เรารู้ผิดรู้ถูกเราก็รู้ไปเถ้อะ อย่าทิ้งรู้"
ครูบาธีระได้พูดแทรกรับเพื่อสำทับในคำถามขึ้นอีกว่า
"จะพยายามสร้างกำลังใจขึ้นมาครับ"
หลวงตาท่านจึงได้พูดเสริมต่อขึ้นอีกว่า
"คือมันไม่ใช่ว่ามีใครรู้ถูกเลยหรอก มันก็รู้ผิดๆถูกๆ แต่อย่าทิ้งรู้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเองแหละ"
ครูบาธีระจึงรับว่า
"อือ ครับ อย่าทิ้งรู้ รู้ถูกรู้ผิดรู้ไปก่อน"
พระอาจารย์เชาว์ก็ได้ตอบรับขึ้นมาว่า
"ทำได้ครับ อย่างนั้นได้"
หลวงตาก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า
"เรารู้ผิดรู้ถูกเราก็รู้ไปเถ้อะ อย่าทิ้งรู้"
ครูบาธีระได้พูดแทรกรับเพื่อสำทับในคำถามขึ้นอีกว่า
"จะพยายามสร้างกำลังใจขึ้นมาครับ"
หลวงตาท่านจึงได้พูดเสริมต่อขึ้นอีกว่า
"คือมันไม่ใช่ว่ามีใครรู้ถูกเลยหรอก มันก็รู้ผิดๆถูกๆ แต่อย่าทิ้งรู้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเองแหละ"
ครูบาธีระจึงรับว่า
"อือ ครับ อย่าทิ้งรู้ รู้ถูกรู้ผิดรู้ไปก่อน"
พระอาจารย์เชาว์ก็ได้ตอบรับขึ้นมาว่า
"ทำได้ครับ อย่างนั้นได้"
หลวงตาก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559
บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑o
ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่บอกไว้ว่าจะมาขยายความหมายของคำว่า "ฮู้ ซือๆ" ซึ่งเป็นคำพูดของภาษาอิสานขนานแท้และดั้งเดิมกัน หรือจะเรียกว่าภาษา "ลาว" ก็ได้เหมือนกัน อืมม ไหนๆก็ได้อารัมภบทถึงที่มาของภาษาแล้ว งั้นเราก็มาดูความหมายของคำว่า "ลาว" กันก่อนสักหน่อยดีกว่า คำว่าลาวนี้ผู้เขียนเคยทราบมาว่าความหมายเหมือนกันกับคำว่าไท ที่หมายถึงไม่ใช่ทาส ไทตรงข้ามกับทาส ลาวตรงข้ามแหล่ง คำว่า "แหล่ง" กับคำว่า "ทาส" จึงมีความหมายเหมือนกัน ในภาษาเขมรที่ใช้พูดกันอยู่ในแถบบุรีรัมย์สุรินทร์ ตอนสมัยเด็กๆผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่คือผู้ที่ตัวโตกว่าจะเรียกผู้ที่เด็กกว่าว่า "อะแร่ง" คำว่า "อะ" แปลว่า "ไอ้" คำว่า "แร่ง" แปลว่าลูกน้องลูกสมุนหรือทาส ซึ่งผู้ที่ถูกเรียกก็มักไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเองตัวเล็กกว่ากำลังน้อยกว่าสู้กันไม่ได้จึงต้องจำยอม ก็เป็นอันว่าชื่อของประเทศไทยกับประเทศลาวความหมายเหมือนกันเด๊ะเลย คือ "มีความเป็นใหญ่ในตัวเอง" ซึ่งก็ถือเป็นการสืบทอดความหมายที่มีมาแต่เดิม เพราะชื่อเก่าของประเทศไทยเรานั้นชื่อว่า "สยาม" คำว่าสยามนี้ก็มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ถ้าออกเสียงแบบบาลีก็จะออกเสียงว่า "สยัง" ถ้าออกเสียงแบบสันสกฤตก็ "สยัม" หมายถึง ผู้เป็นเอง/ผู้มีความเป็นใหญ่ในตัวเองอะไรประมาณนี้ (เป็นความรู้ความเห็นส่วนตัวนะ)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)