"บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๕"
ต่อจากตอนที่แล้ว
เพราะเหตุที่ผู้เขียนอธิบายฟังแล้วไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจนัก อ.เชาว์จึงได้ตัดบทไปที่การปฏิบัติของท่านที่ว่า
ท่านเคยทำได้ดีในระดับหนึ่งคือเห็นสังขารความปรุงแต่งเป็นส่วนหนึ่ง
ผู้รู้ก็อยู่อีกส่วนหนึ่งเป็นอย่างนี้อยู่ ๒-๓
สัปดาห์จากนั้นก็มัวๆไปดูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน อาจจะเป็นเพราะกำลังมันตกไป
(หมายถึงกำลังของสมถะ)
รวมทั้งร่างกายของท่านเองก็เจ็บป่วยไม่ค่อยเอื้ออำนวยอีกด้วย หลวงตาจึงตอบสรุปให้ท่านไปว่า “เป็นเพราะท่านทิ้งรู้ไป” คือเวลารู้อะไรก็หลงไปรู้อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ คือเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองกำลังหลงไปเป็นผู้รู้อยู่ เพราะจิตนั้นเกิด ดับทีละดวงเหมือนที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนที่ ๓ การปฏิบัติจึงเหมือนกับว่าได้ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้ผิด คือแทนที่จะรู้ ผู้รู้ แต่กลับเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ซะเอง เมื่อไม่สามารถรู้เท่าทันสภาวะได้ก็พาลหงุดหงิด บ่นงุบงิบๆ หมกหมุ่น ครุ่นคิดอยู่ภายในจับอาการอะไรก็ไม่ชัด คือหลงไปกับอาการที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นตัวเองที่กำลังหลงเข้าไปเป็นในอาการนั้นอยู่ กลายเป็นโมหะครอบก็เลยมีผลทำให้เกิดความพร่ามัว กำลังของจิตก็อ่อนแรงลง ผลจึงส่งมาที่ร่างกายทำให้มีอาการเจ็บป่วยตามไปด้วย มาถึงตรงนี้เหมือนเขี่ยลูกมาเข้าทาง ครูบาธีระซึ่งเป็นฝ่ายนั่งฟังอย่างเงียบกริบมานาน จึงเริ่มขยับเข้ามาร่วมสนทนาด้วย เพราะท่านเองก็ถือว่าเป็น “หนึ่งในตองอู” ด้าน หมกหมุ่น ครุ่นคิด ติดหล่ม จมปลัก หลักลอย หงอยๆซึมๆ อีกผู้หนึ่งเหมือนกัน ถ้ามีการจัดอันดับก็ไม่แน่ท่านอาจอาจเป็นเลิศกว่าใครๆ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า “เอตทัคคะ” เลยก็ได้ โดยท่านพูดเป็นเชิงคำถามขึ้นว่า “ในช่วงที่เรามัวๆอยู่ เราก็พลิกมาดูตัวที่รู้ว่ามัวๆซึมๆบ่นงุบงิบๆอยู่ในใจ”
รวมทั้งร่างกายของท่านเองก็เจ็บป่วยไม่ค่อยเอื้ออำนวยอีกด้วย หลวงตาจึงตอบสรุปให้ท่านไปว่า “เป็นเพราะท่านทิ้งรู้ไป” คือเวลารู้อะไรก็หลงไปรู้อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ คือเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองกำลังหลงไปเป็นผู้รู้อยู่ เพราะจิตนั้นเกิด ดับทีละดวงเหมือนที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนที่ ๓ การปฏิบัติจึงเหมือนกับว่าได้ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้ผิด คือแทนที่จะรู้ ผู้รู้ แต่กลับเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ซะเอง เมื่อไม่สามารถรู้เท่าทันสภาวะได้ก็พาลหงุดหงิด บ่นงุบงิบๆ หมกหมุ่น ครุ่นคิดอยู่ภายในจับอาการอะไรก็ไม่ชัด คือหลงไปกับอาการที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นตัวเองที่กำลังหลงเข้าไปเป็นในอาการนั้นอยู่ กลายเป็นโมหะครอบก็เลยมีผลทำให้เกิดความพร่ามัว กำลังของจิตก็อ่อนแรงลง ผลจึงส่งมาที่ร่างกายทำให้มีอาการเจ็บป่วยตามไปด้วย มาถึงตรงนี้เหมือนเขี่ยลูกมาเข้าทาง ครูบาธีระซึ่งเป็นฝ่ายนั่งฟังอย่างเงียบกริบมานาน จึงเริ่มขยับเข้ามาร่วมสนทนาด้วย เพราะท่านเองก็ถือว่าเป็น “หนึ่งในตองอู” ด้าน หมกหมุ่น ครุ่นคิด ติดหล่ม จมปลัก หลักลอย หงอยๆซึมๆ อีกผู้หนึ่งเหมือนกัน ถ้ามีการจัดอันดับก็ไม่แน่ท่านอาจอาจเป็นเลิศกว่าใครๆ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า “เอตทัคคะ” เลยก็ได้ โดยท่านพูดเป็นเชิงคำถามขึ้นว่า “ในช่วงที่เรามัวๆอยู่ เราก็พลิกมาดูตัวที่รู้ว่ามัวๆซึมๆบ่นงุบงิบๆอยู่ในใจ”
หลวงตาก็รับว่าถูกต้อง อาการต่างๆที่เกิดขึ้นทั้ง มัวๆ ซึมๆ ว่างๆ โล่งๆ โปร่งๆ เบาๆ สบายๆ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ อย่าไปสนใจให้มารู้ตัวเราที่เป็นผู้รู้อาการเหล่านั้นเป็นพอ ครูบาธีระกลับมีคำถามอีกว่า
“ทีนี่ เรารู้แล้วว่าตัวนี้มันบ่นอยู่ ไอ้ตัวที่มารู้ว่าตัวรู้ที่บ่นอยู่นี้คืออะไรครับ”
(คำถามแรกขึ้นหลังม้าแล้ว คำถามหลังตกเฉย)
หลวงตาจึงบอกว่า “อย่าไปหาเหตุผลอย่างนั้น
ไม่งั้นจากที่ท่านรู้แล้วว่าไอ้ตัวนี้มันบ่น แล้วไอ้ตัวที่มารู้ว่าตัวนี้บ่นมันคือใครอีกน้อ
ท่านต้องมารู้ตัวในๆเข้ามาเรื่อยอีกที” ก็อย่างที่รู้แล้วว่าจิตเกิดดับอย่างรวดเร็วไม่ขาดสาย
ดวงก่อนเป็นสิ่งที่ถูกดวงนี้รู้ แล้วดับ ดวงนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกดวงใหม่รู้ อีกที
คือมันจะซ้อนๆกันไปอย่างนี้เป็น infinity ถ้ามัวแต่หาเหตุผลแบบนั้นก็จะกลายเป็นหลงเข้าไปเป็นผู้เป็นในอาการเสียเอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จึงได้บอกไว้ว่า “อย่าเอาจิตไปแสวงหาจิต
อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ” จากนั้น อ.เชาว์ก็ได้พูดถึงอาการของท่านอีกว่าในตอนง่วงๆท่านจะไม่สามารถดูอาการอะไรได้
และก็ได้เคยถามใครมาหลายๆคน
แล้วว่าในตอนที่ง่วงๆนั้นจะเป็นเหมือนๆกันคือดูอะไรไม่ได้เลย หลวงตากลับบอกว่า
“ดูได้” คือดูว่าไอ้ตัวนี้มันกำลังง่วงอยู่
ที่บอกว่าดูไม่ได้นั้นก็เพราะว่าเอาตัวเองไปเป็นผู้ง่วงเสียเอง
ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเห็นด้วยค่อนข้างมาก (ที่บอกว่า “ค่อนข้าง” เพราะยังดูได้ไม่ขาดขนาดนั้น)
และอีกอย่างหนึ่งผู้เขียนเคยได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์อยู่ ๒ ท่าน
ได้พูดเหมือนกันเลยว่า ในตอนที่ท่านนอนท่านจะมีสติคอยดูอยู่ว่ามันจะหลับตอนไหน
แล้วพอร่างกายมันหลับท่านก็จะเห็นความหลับ (คือร่างกาย) กับความตื่น (คือผู้รู้)
มันขาดออกจากกันอย่างอิสระ
ท่านบอกว่าบางครั้งที่สติมันตื่นมากๆมันก็จะดูร่างกายอยู่อย่างนั้น
เวลาที่ร่างกายมันเริ่มเจ็บปวดเพราะนอนอยู่ท่าเดียวนานๆ
มันก็จะพลิกหาท่าที่สบายของมันเอง หนักๆเข้าก็กรนหรือน้ำลายไหลยืดแบบน่าเกลียดไปเลยก็มี
จากประสบการณ์ที่ท่านดูตัวเองมานานๆท่านจึงสรุปได้ว่าการนอนหลับในแต่ละคืน คืนหนึ่ง ก็อยู่ราวๆ ๔-๖
ชั่วโมงร่างกายจะพลิกไปพลิกมาราวๆ ๔o-๕oครั้ง (อืมม ขั้นเทพจริงๆ) หลวงตาท่านได้เปรียบเทียบการที่เรารู้สภาวะได้เท่าทัน
คือรู้ในๆเข้ามา ก็เหมือนของที่วางอยู่บนโต๊ะ
(ขณะนั้นนั่งสนทนาธรรมกันล้อมโต๊ะอยู่) มันมีของวางอยู่ไกลที่สุด และใกล้เข้า
ใกล้เข้ามา เราก็ดูรู้ได้เห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น
การรู้สภาวะของจิตก็เหมือนกันอย่างนี้ แต่ อ.เชาว์ดูเหมือนจะไม่เห็นคล้อยตามจึงแย้งว่า
“ในตอนง่วงๆมันดูความคิดได้ยาก” ถึงตรงนี้ครูบาธีระฟันธงเลยว่า
“อาจารย์ไปให้ค่ากับความง่วงมากไป เลยไม่รู้ว่าอาการง่วงมันถูกรู้อยู่”
หลวงตารับว่า “ใช่! ถูกต้องๆ”
(กระโดดขึ้นหลังม้าได้อีกคำรพหนึ่ง) อ.เชาว์ก็ยังไม่ลงใจจึงแย้งอีกว่า
“เวลามีโมหะมันดูไม่ได้ทั้ง ๒ ตัว” (คือความง่วง กับผู้รู้ความง่วง)
หลวงตาจึงฟันธงเลยว่า “ท่านเอาอาการง่วงเป็นโมหะ
เลยไม่เห็นตัวที่กำลังง่วงและบ่นอยู่ ถ้าท่านเห็นได้
ความง่วงนั้นจะไม่มีความหมายต่อใจท่านได้เลย” ผู้เขียนเคยได้ยินหลวงพ่อสุจินต์
สุจิณโณ ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่หลุย จันทสาโร ในตอนที่ง่วงๆอยู่หลวงปู่จะให้ไปเดินจงกรมจนหายง่วงก่อน
แล้วค่อยนอน คงเป็นอุบายไม่ให้ตามใจกิเลสกระมัง เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ยุคนั้นเรียกว่าใจเพชรจริงๆ
ขึ้นชื่อเรื่องการสู้กับกิเลสแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันอยู่แล้ว ไม่เหมือนยุคเราที่ใจเสาะ
เหยาะ แหยะ ขี้เกียจ ขี้คร้าน แต่อยากได้นิพพาน พอกิเลสมันชวนนิดหน่อยก็เรียบร้อยเห็นดีเห็นงามไปกับมันซะงั้น
ตอนบวชแรกๆผู้เขียนเคยฝืนสู่กับความง่วงชนิดขึงขังจริงจังมากๆ
แต่ก็สู้มันไม่ได้ขนาดเดินจงกรมในทางเดินแท้ๆยังเดินหลับ
เดินถึงท้ายจงกรมขณะจะกลับตัว ก็ยืนหลับอยู่ตรงนั้นเฉย
จนร่างกายมันเริ่มเอียงๆเซๆจึงรู้สึกตัวแล้วจึงตั้งหลักเดินใหม่
แต่ที่หนักสุดคือเดินหลับจนเลยทางจงกรมหัวคะมำล้มกลิ้งไปเลย เพราะทางเดินจงกรมที่
วัดป่าคูขาด จ.มหาสารคาม นั้นท่านจะก่ออิฐบล็อกยกพื้นขึ้นสูงพอสมควร
ตอนนั้นรู้อายมากๆ แต่พอมองซ้าย มองขวา
มองรอบๆแล้วไม่มีใครเห็นเลยลุกขึ้นมาเดินตอนต่อแบบเขินๆ ยังคิดคำรามในใจอยู่อีกว่า
“แน่จริง มึงง่วงอีกสิ” โอ..ท้ามันไม่ได้นะเพราะเดินอีกไม่กี่รอบมันก็ง่วงอีกจริงๆ
เลยไปปรึกษากับครูบาธีระ ท่านก็แนะนำมาว่าให้เตรียมพริกแห้งไว้
ถ้าง่วงก็เอามากัดแล้วอมไว้ อย่าเพิ่งกลืน อื้อ ฮือ
นับเป็นเคล็ดวิชาไม้ตายขั้นสุดยอดที่ผู้เขียนน้อมรับมาด้วยความซาบซึ้งใจ
แต่พอนำมาปฏิบัติปัญหามันอยู่ที่พอพริกมันเริ่มออกฤทธิ์
มันก็เผ็ดซะจนทนไม่ไหวก็ต้องบ้วนทิ้ง แถมยังต้องรีบไปหาน้ำมาล้างปากออกอีก สรุปคือ
ไม่สำเร็จ เลยต้องแบกความอายไปขอคำแนะนำจากท่านอีก คราวนี้ท่านให้
“อภิมหาเคล็ดลับขั้นปรมัตถ์” ที่ผู้เขียนถึงกับต้องนิ่งอึ้ง..กระพริบตาถี่ๆเป็นเวลานาน แล้วน้อมรับมาด้วยความซาบซึ้งใจสุดที่จะประมาณ
แต่พอนำมาปฏิบัติมันก็เกิดปัญหาอีกจนได้ เพราะท่านแนะนำมาว่าเวลาเดินจงกรมถ้ามันง่วงจัดๆให้
“วิ่งจงกรม” ไปเลย คือมันก็พอช่วยได้อยู่นะ แต่คงเป็นเพราะผู้เขียนเป็นคนขี้อายเลยทำไม่ได้
วิ่งไปก็คอยมองๆไปว่ามีใครเห็นหรือเปล่า
คือให้มีมันก็ไม่มีหรอกเพราะกุฏิจะอยู่ห่างกันมาก แถมรอบๆบริเวณก็เป็นป่า
แต่มันก็อายอยู่ดี สรุปก็ไม่สำเร็จอีก
ทุกวันนี้ก็เลยผ่อนปรนลงตามอาการคือกลางวันก็งีบบ้าง
แต่ตื่นแล้วต้องลุกเลยมันก็งีบได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงส่วนมากจะอยู่ที่ราวๆ ๑๕ นาทีบวกลบนิดหน่อยแถมได้ความสดชื่นเพิ่มมาอีกเยอะเลย
(อ้าว..ถึงไหนแล้วหล่ะ)
ทีนี้ก็มาต่อพอหลวงตาพูดจบครูบาธีระก็พูดขึ้นว่า “ยกเว้นขันธ์ ๕
มันง่วงมันต้องการพักจริงๆ” หลวงตาบอกว่า “ถ้ามันง่วงจริงๆมันก็หลับไปเลย
แต่ข้างในมันก็ยังรู้อยู่” ครูบาธีระถามต่อว่า “อาการนี้คือนิวรณ์ใช่ไหมครับ”
(รู้สึกว่าครูบาธีระจะตกจากหลังม้าอีกครั้ง)
จากนั้นหลวงตาจึงได้อธิบายถึงการปฏิบัติว่าต้องให้อยู่ในหลักของสติปัฏฐาน ๔
คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน๑ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน๑ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน๑ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน๑ คือการตามระลึกรู้ ตามดู ตามเห็นในฐานทั้ง ๔ ที่เรียกกันย่อๆว่า
กาย/เวทนา/จิต/ธรรม/ อนุ คือ ตาม/ ปัสสนะ คือ เห็น/ สติ คือ ความระลึกได้/ ฐาน คือ
ที่ตั้ง/ เป็นมรรคองค์ที่ ๗ ในอริยอัฏฐังคิกมรรคคือ “สัมมาสติ” ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสรับรองไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรเลยว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน” (ทีฆนิกาย มหาวรรค) สติปัฏฐาน จึงเป็นกองกุศลอย่างแท้จริง
คือเราต้องแยกให้ออกก่อนว่าอะไรคือบุญ อะไรคือกุศล
ถ้าจะรวบรัดแบบคร่าวๆพอให้เข้าใจก็คือการให้ทาน การรักษาศีล
รวมทั้งการทำคุณงามความดีต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
ต่อสังคมส่วนรวมเมื่อทำแล้วจิตใจเกิดความอิ่มเอม ปีติ ซาบซ่านเกิดเป็นความสุข ความอิ่มใจอันนี้คือบุญ
เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข อานิสงส์ของบุญก็จะนำมาซึ่งสุขคติคือมนุษย์สมบัติและสวรรค์สมบัติ
อันเป็นกามาวจรภูมิ (นับตั้งแต่อเวจีนรกจนถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตสวัตตี อบายภูมิ๔
มนุษย์๑ สวรรค์๖รวมเป็น๑๑) รูปฌาน ๔ และพรหมวิหาร ๔ (ในปฏิสัมภิทามรรคยังมีกล่าวถึง
ฌาน อีกเยอะมากแต่จะไม่ขอนำมาลงไว้เดี๋ยวจะฟุ่มเฟือยไป) นำมาซึ่ง รูปาวจรภูมิ(นับตั้งแต่พรหมปาริสัชชาจนถึงอกนิฏฐ์
รวมเป็น ๑๖) อรูปฌาน ๔ นำมาซึ่ง อรูปาวจรภูมิ (นับตั้งแต่อากาสานัญจายตนะถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
รวมเป็น ๔ ทั้งหมดจึงรวมกันได้ ๓๑ภูมิ) ฌานคือความสงบนิ่งของจิต แต่กุศลนำมาซึ่ง
โลกุตตรภูมิ คือมรรค ผล นิพพานธาตุอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งนั่นเอง เพราะกุศลแปลว่า
“ความฉลาด” และพระพุทธองค์ยังตรัสรับรองไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรอีกว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ อรหัตผลในปัจจุบัน๑
หรือหากยังมีอุปปาทิเหลืออยู่ก็จักเป็นพระอนาคามี๑”
ก็จะเห็นได้ว่าหากใครผู้ใดก็ได้ไม่ว่าหญิง ว่าชาย
ว่าพระ ว่าโยม ถ้าเจริญสติอยู่ในฐานทั้ง ๔ หรืออย่างใดอย่างได้เป็นอย่างดีแล้วไซร้
พระพุทธองค์ทรงรับประกันว่าไม่เนิ่นช้าเกินนี้แน่นอน เอาหล่ะ
เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อหน้านะ "สิทธิกิจจัง
สิทธิกัมมัง สิทธิลาโภ ชโย นิจจัง"
"ปัญญาวชิโร
ศากยะปุตโต ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น