ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว
ที่บอกว่าให้มีสติรู้ทันความโกรธให้ได้เป็นสเตปๆตามที่กล่าวไว้
แต่ถ้ายังไงก็ยังไม่ทันอยู่ดีจนเลือดขึ้นหน้าอันนี้เราก็ยังมีที่พึ่งสุดท้ายคือ
“ศีล๕” รักษาเอาไว้ให้ดีโกรธแค่ไหนก็อย่าให้มันล้นออกมาทางวาจา
คืออย่าได้กล่าวคำผรุสวาจาด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย
อย่าให้มันล้นออกมาทางกายคือกำลังจะเงื้อมือทำร้ายเขาก็ต้องหยุดตัวเองให้ได้
ยอมเป็นคนโง่แล้วเดินหนียังดีกว่า
คือถ้าศีลเราดีมันก็จะเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิได้ง่ายเพราะเมื่อเราไม่มีความผิดอะไรเราก็ย่อมไม่เกิดความร้อนใจที่เรียกกันว่า
วิปปฏิสาร เมื่อไม่เดือดร้อนใจ ใจมันก็สงบสุข ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ผู้เขียนเคยได้ฟังหลวงพ่อคำเขียน
สุวัณโณ
ขออนุญาติเอ่ยนามท่านหน่อยเพราะตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่ให้ใครได้กราบไหว้อีกแล้ว ก่อนบวชราวปีหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาศไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ อยู่ที่นั่น๕วันก็ได้มีโอกาศได้กราบสนทนาธรรมกับท่านและได้ขอกรรมฐานกับท่าน ซึ่งท่านก็ได้ให้กรรมฐานแบบง่ายๆสั้นๆกับผู้เขียนมาผู้เขียนก็ยังจดจำได้เท่าทุกวันนี้ ท่านได้เล่าถึงเรื่องความโกรธที่หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ที่เป็นพระอาจารย์ของท่านได้พูดไว้ว่า “ถ้าจะให้โกรธ ขอแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งท่านได้ให้ตุผลว่าการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน คำว่า “แก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน” เป็นสำนวนภาษาทางอิสาน ก็คือถอดเสื้อผ้าออกจนหมดเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วเดินไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อให้คนทั้งหมู่บ้านเห็นยังดีกว่าให้โกรธ เพราะการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านปกติมันเป็นเรื่องที่น่าอายอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้โทสะมันเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรียกว่ายึดหัวหาดยันเมืองหลวงได้แล้วมันจะสั่งงานเรายังไงก็ได้นี่กลับเป็นเรื่องที่น่าอายมากกว่า (เออ ท่านพูดไว้ได้ดีมากเลยนะ)
ผู้เขียนเคยเห็นผู้หญิงทะเลาะกันเถียงกันด้วยความโกรธนะ เรื่องอะไรไม่ขอบอกจากคนหน้าตาสวยๆ หน้าตางามมากกลายเป็นนางยักษ์ขีณีไปในพริบตาเลย โอ้โห ส่วนอีกคนก็แปลงร่างเป็นนางปีศาจสาวได้อย่างไร้ที่ติ ในตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกสลดใจลงแบบทันทีทันใดและรู้สึกอายแทนมากๆเลย เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในทีทำงานมีคนเห็นเหตุการณ์นั้นหลายคน พอมานึกเทียบกับคำพูดของหลวงพ่อเทียนแล้วจึงเข้าใจ อย่าว่าแต่คนอื่นเล้ย ตัวผู้เขียนเองก็เหมือนกันแหละเป็นคนจ้าวโทสะ มานะ อัตตาตัวตนสูง ทิฏฐิ egoจัดไม่แพ้ใครในใต้หล้าเหมือนกัน ถ้ามีการจัดประกวดก็ไม่แน่นะ ผู้เขียนอาจเป็น “เอตทัคคะ”ด้านนี้ได้อย่าง (ไม่น่าภาคภูมิใจ) ได้เลยหล่ะ ผู้เขียนเคยลองนึกย้อนๆไปนะสิ่งที่พูดมาทั้งหมดจริงๆมันก็มีมาตั้งแต่จำความได้แหละ แต่ที่มันชัดเจนคือมันสะสมมาจนโตเต็มที่ก็ตอนอายุสามสิบขึ้นมานี่แหละ คือมันเห็นชัดมากและแนวโน้มที่มันจะเป็นไปคือ มันจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆแบบอัตโนมัตซึ่งผู้เขียนได้วิเคราะห์ดูแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากและน่าละอายมากๆ นี่ขนาดเราไม่ได้เป็นคนเก่ง คนฉลาดที่ทำอะไรก็ประสพผลสำเร็จร่ำรวยมีชื่อเสียงมันยังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้า genius ได้ขนาดนั้นจะแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือคนประเภทแบบผู้เขียนนี้จะมีความทุกข์อัดอั้นในใจมาก คือพอไม่ได้ดั่งใจโทสะก็จะแรง ยิ่งแรงมากก็ยิ่งทุกข์มากอย่างช่วยไม่ได้ จะขอเล่าเรื่องราวของผู้เขียนแบบย่อๆไว้สักหน่อยนะเผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง ราวๆปี ๒๕๕๓ ผู้เขียนได้มาทำงานอยู่ที่ชลบุรี ตอนนั้นชีวิตมีการหักเหอย่างรุนแรงจนแทบพยุงตัวไม่รอดเหมือนกัน ก็พยายามอธิฐานขอให้เจอทางออกบ้างเพราะทุกข์มากจริงๆ จนได้มาเรียนหลักสูตรครูสมาธิของหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโรที่สาขา ๑๙ วัดแหลมทอง แหลมฉบัง ช่วงนั้นก็ได้ฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรมจนจบตามหลักสูตรเรียนอยู่ ๖ เดือนถึงจบมาได้ จากนั้นก็ฝึกทำต่อเองที่ห้องหรือที่ทำงานบ้างแล้วแต่โอกาศ แต่ก็ยังไม่ได้อะไรนะส่วนมากจะหลับ จนราวๆปี ๒๕๕๕ รู้สึกว่ามันมีการพัฒนาขึ้นมาบ้างแต่จะไม่ขอลงรายละเอียดนะ (เดี๋ยวจะหาว่าอวดอุตริ) สรุปเอาเป็นว่าทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้นแบบปุบปับทั้งการงาน ทั้งการเงินจิตใจก็มีกำลังสดชื่นเบิกบาน ก็สามารถทรงอยู่อย่างนี้ได้เป็นปีๆ พอปี ๒๕๕๖ ชักเริ่มแปลกๆคือไม่สามารถทำได้เหมือนเดิมอีกทุกอย่างก็ค่อยๆกลับตาลปัตรไปเป็นตรงกันข้าม แต่สิ่งที่แถมมาแล้วเห็นชัดโดดเด่นมากที่สุดคือเจ้าตัว “โทสะ” นี่แหละ มันมีกำลังรุนแรงมากจนบางทีอกแทบฉีกเลย ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าเราคงอยู่ทางโลกไม่ได้แล้วเพราะอะไรมันก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด พอต้นปี ๒๕๕๗ จึงได้มาบวช แต่ก็เหมือนกรรมมันแกล้งนะคือตั้งแต่เข้าวัดมาเป็นผ้าขาวกลับโดนหนักกว่าตอนอยู่ข้างนอกอีก ครูบาอาจารย์วัดป่าทางอิสานก็ขึ้นชื่อเรื่องดุอยู่แล้ว เราก็ประเภทจ้าวโทสะอีก โอ้ โห ผู้เขียนถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกเลย แต่ด้วยความตั้งใจและทุกอย่างมันเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จึงใช้ความอดทนเป็นผ้าขาวอยู่เดือนหนึ่งจึงได้บวช แต่ทุกอย่างมันก็ยังดำเนินไปตามรูปแบบเดิมตอนนั้นรู้สึกกดดันมาก เพราะคิดว่าบวชแล้วทุกอย่างต้องดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ และที่สำคัญคือมันไม่มีทางออกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องก้มหน้ารับ แม้เราจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแต่ถ้าท่านด่ามาเราทำได้อย่างเดียวคือก้มหน้ารับ ตอนนั้นความคิดความรู้สึกมันหกคะเมนตีลังกาทำให้มึนงงไปหมด อยู่แบบหวาดผวาว่าวันนี้จะโดนอะไร เพราะถ้าท่านได้เริ่มต้นแล้วมันจบยากมากไม่ว่าจะเริ่มจากใครสุดท้ายมันก็โดนรวบไปหมดทั้งวัด และที่สำคัญคือการภาวนาของเรามันยิ่งตีบตันไปหมด เรียกว่าไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดมาจากปลายอุโมงค์ให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว จิตใจมันสลดหดหู่ไปหมดวันๆก็ได้แต่ถามตัวเองว่ามันถูกแล้วเหรอที่เราบวชมาแล้วมาเจอแบบนี้ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเพราะดูพระรูปอื่นก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากเรา จนหลังๆก็ชักไม่ไหวเลยมาสอบถามหาข้อมูลความเป็นมาเป็นไปจากครูบาธีระ และโยมที่เป็นคนวัดเก่าแก่จึงได้รู้ว่าที่นี่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ มีพระหนีออกจากวัดทุกปีบางรูปก็ออกด้านหลังวัด บางรูปก็หอบบาตรหนีตอนกลางคืน ยิ่งรุ่นครูบาธีระที่บวชในงานพระราชเพลิงหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ ตอนนั้นมาอยู่กันเกือบยี่สิบรูปแต่พอผ่านไปไม่กี่วันก็เหลืออยู่แค่ ๓ รูปนอกนั้นหนีหมด แต่ด้วยความตั้งใจของผู้เขียนมันมีมากก็ทนอยู่ทนดูมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่วี่แววว่าจะดีขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการภาวนาซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการเข้ามาบวช ก็เลยหวลนึกถึงพระสูตรหนึ่งที่ชื่อว่า “วนปัตถสูตร”ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ถึงการที่ภิกษุไปอยู่ในป่า อยู่ในบ้าน อยู่ในนิคม อยู่ในนคร อยู่ในชนบทรวมถึงการไปอาศัยอยู่กับบุคลไว้อย่างละ ๔ นัยโดยผู้เขียนขอสรุปเนื้อความของพระสูตรคร่าวๆดังนี้ว่า “ ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี (คำว่าบุคคลในที่นี้หมายถึงพระภิกษุด้วยกันนะไม่ใช่โยม) เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุ ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้แล้วพึงหลีกไปเสีย รู้กลางวันหนีกลางวัน รู้กลางคืนหนีกลางคืน นี้คือนัยที่๑ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุ ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่าเราไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรชิต เพราะเหตุแห่งจีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารก็ครั้นเป็นเช่นนี้ เมื่อภิกษุนั้นรู้เช่นนี้ แล้วพึงหลีกไปเสีย นี้คือนัยที่๒ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่าเราไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรชิต เพราะเหตุแห่งจีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารก็ครั้นเป็นเช่นนี้ เมื่อภิกษุนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็พึงอยู่เสียที่นั้นไม่ควรหลีกไป นี้คือนัยที่๓ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก ภิกษุนั้นพึงพัวพันอยู่กับป่านั้น บ้านนั้น นิคมนั้น ชนบทนั้น นครนั้นหรือบุคคลนั้นไปจนตลอดชีวิตอย่าได้หลีกไปแม้จะถูกขับไล่ก็ตาม นี้คือนัยที่ ๔” สรุปแล้วพระพุทธองค์ได้ทรงชี้ลงไปที่การเจริญขึ้นของสติ สมาธิและปัญญาตลอดจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง พระพุทธองค์มิได้ทรงให้เอาสถานที่ บุคคลหรือความสะดวกสบายการได้มาซึ่งลาภสักการะจตุปัจจัยเป็นที่ตั้งเลย พูดให้เข้าใจง่ายๆคือเอาผลของการปฏิบัติ ผลของการภาวนามาเป็นตัววัด ว่าควรจะอยู่ต่อดีมั้ยอะไรประมาณนี้ ผู้เขียนขออธิบายคำว่า “ปฏิบัติ และ ภาวนา” สักหน่อยตามที่เคยได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านแปลให้ฟังดังนี้ คือที่คนไทยเรามักพูดกันว่าปฏิบัติบ้าง ภาวนาบ้างนั้น ซึ่งคำว่า “ปฏิ” คำนี้แปลว่า “เฉพาะหน้า ส่วนคำว่า “ปัตติ” แปลว่า “เข้าถึง” คนไทยเราเอาภาษาของเขามาพูด แต่คงเพราะต้องการให้พูดถูกปากคล่องลิ้นหรือไงก็ไม่ทราบ จึงได้ตัดหางตัว ป.ปลาออก กลายเป็นตัว บ.ใบไม้เฉยเลยจึงมาเป็น “ปฏิบัติ” อย่างที่ใช้กันอยู่ แต่รวมความแล้วก็น่าจะแปลความหมายได้ว่า “เข้าถึงธรรมที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าในปัจจุบัน” อะไรประมาณนี้ ส่วนคำว่า “ภาวนา” ก็มาจากคำว่า “ภาวิตา พหุลีกตา” ที่แปลว่า “ทำให้มาก เจริญให้มาก” เอาหล่ะ มาว่ากันต่อพอความอดทนมันถึงที่สุดแล้ว ผู้เขียนจึงตัดสินใจเข้ากราบเรียนท่านตรงๆว่าจะขอไปอยู่ทีอื่นโดยได้ขอให้ครูบาธีระเข้าไปเป็นเพื่อน แต่พอท่านรู้ว่าผู้เขียนจะไปจริงๆท่านก็มีท่าทีเหมือนอยากให้อยู่ต่อแต่ท่านก็มีเชิงในการพูดที่เฉียบคมมาก โดยยกเอาการมาของเราว่ามาด้วยความตั้งใจมากแต่อยู่ๆทำไมมาเป็นแบบนี้จากทีแรกที่ดูเหมือนเป็นของจริงแต่แล้วก็เป็นแค่ของเก๊ไร้ราคา และอีกสารพัดที่ท่านยกมากระหน่ำซัมเมอร์เซล แต่ด้วยความที่ผู้เขียนได้ไตร่ตรองไว้ดีแล้ว จึงได้ยืนยันคำเดิมว่าจะขอไปโดยให้เหตุผลกับท่านว่า “วาสนาอุปนิสัยใจคอของกระผมมันคงไม่ถูกกับจริตการสอนของหลวงพ่อครับ ใจของกระผมมันจึงไม่ยอมลงให้” แค่นั้นแหละ ท่านชี้หน้าผู้เขียนทันทีพร้อมตวาดขึ้นว่า “ไม่ต้องเอาคำว่าจริตมาพูดอยากไปก็ไปเลย แล้วอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก เพิ่งบวชมาเพียงไม่กี่วันแท้ๆยังกล้าพูดได้ขนาดนี้ เราบวชมา ๓๘ พรรษานี่เป็นคนแรกที่กล้าพูดว่าใจไม่ลงให้ ไป! อยากไปก็ไปเลย” เฮ้ออ บรรยากาศตอนนั้นมันอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าเราเพิ่งบวชใหม่ ตั้งใจจะมาอาศัยพึ่งพิงครูบาอาจารย์เพื่อปูทางการปฏิบัติภาวนาให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ แต่ทำไมมันจึงได้กลับตาลปัตรเป็นไปอีกอย่างได้ขนาดนี้ ตอนนี้เราเป็นเหมือนคนอนาถาขาดที่พึ่งเสียแล้วเปรียบเหมือนลูกโคที่เพิ่งคลอด ที่ไม่รู้ว่าแม่อยู่ไหนได้แต่ร้องหาโดยไม่มีทิศทางไร้ซึ่งใครจะนำพาให้ถึงความเกษมได้ อีกอย่างนึงคือมันวังเวงเหมือนเรือลำน้อยที่ล่องลอยท่ามกลางมหาสมุทร ที่มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำจรดฟ้า ลำพังเรือก็ลำเล็กอยู่แล้วไม้ถ่อไม้พายก็ไม่มี อาศัยเพียงมือสองข้างที่พอจะกวักน้ำเพื่อพยุงให้เรือพุ่งไปข้างหน้าได้แต่ก็ไร้ทิศทาง พอมีคลื่นใหญ่ซัดมาก็ถลาล่องลอยไปตามแรงซัดของคลื่น ผู้เขียนก็เดินกลับกุฏิด้วยอาการเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เหมือนคนเป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นเฉียบ มาถึงกุฏิแบบงงๆแล้วจึงได้บอกกับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ต้องพึ่งตนเอง” คือด้วยความที่ผู้เขียนเป็นคนโทสะแรง ทิฏฐิมานะอัตตาสูง ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกเบียบคั้นกดดันมากๆ มีหลายครั้งมากที่ผู้เขียนจะเกิดความฮึกเหิมอาจหาญขึ้นมาแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม เวลาจะพูดหรือทำอะไรก็จะพูดหรือแบบตรงไปตรงมาตามที่มันเป็นแบบไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้มันก็มีทั้งผลดีและผลเสียนั่นแหละ สรุปแล้วนะตั้งแต่เข้าไปอยู่ที่วัดนั้นยันถึงวันที่ออกมาโดนฝ่ามือของท่านฟาด ๒ ครั้ง โดนเตะอีกครั้งนึง ส่วนที่โดนด่าทั้งโดยตรงและโดยอ้อมนี่ขี้เกียจนับ เอ…เขียนไปเขียนมาไฉนมันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวไปเสียฉิบ เอาเถอะใกล้จบแล้วหล่ะแต่เอาไว้มาว่ากันต่อตอนหน้านะ
ขออนุญาติเอ่ยนามท่านหน่อยเพราะตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่ให้ใครได้กราบไหว้อีกแล้ว ก่อนบวชราวปีหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาศไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ อยู่ที่นั่น๕วันก็ได้มีโอกาศได้กราบสนทนาธรรมกับท่านและได้ขอกรรมฐานกับท่าน ซึ่งท่านก็ได้ให้กรรมฐานแบบง่ายๆสั้นๆกับผู้เขียนมาผู้เขียนก็ยังจดจำได้เท่าทุกวันนี้ ท่านได้เล่าถึงเรื่องความโกรธที่หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ที่เป็นพระอาจารย์ของท่านได้พูดไว้ว่า “ถ้าจะให้โกรธ ขอแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งท่านได้ให้ตุผลว่าการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน คำว่า “แก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน” เป็นสำนวนภาษาทางอิสาน ก็คือถอดเสื้อผ้าออกจนหมดเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วเดินไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อให้คนทั้งหมู่บ้านเห็นยังดีกว่าให้โกรธ เพราะการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านปกติมันเป็นเรื่องที่น่าอายอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้โทสะมันเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรียกว่ายึดหัวหาดยันเมืองหลวงได้แล้วมันจะสั่งงานเรายังไงก็ได้นี่กลับเป็นเรื่องที่น่าอายมากกว่า (เออ ท่านพูดไว้ได้ดีมากเลยนะ)
ผู้เขียนเคยเห็นผู้หญิงทะเลาะกันเถียงกันด้วยความโกรธนะ เรื่องอะไรไม่ขอบอกจากคนหน้าตาสวยๆ หน้าตางามมากกลายเป็นนางยักษ์ขีณีไปในพริบตาเลย โอ้โห ส่วนอีกคนก็แปลงร่างเป็นนางปีศาจสาวได้อย่างไร้ที่ติ ในตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกสลดใจลงแบบทันทีทันใดและรู้สึกอายแทนมากๆเลย เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในทีทำงานมีคนเห็นเหตุการณ์นั้นหลายคน พอมานึกเทียบกับคำพูดของหลวงพ่อเทียนแล้วจึงเข้าใจ อย่าว่าแต่คนอื่นเล้ย ตัวผู้เขียนเองก็เหมือนกันแหละเป็นคนจ้าวโทสะ มานะ อัตตาตัวตนสูง ทิฏฐิ egoจัดไม่แพ้ใครในใต้หล้าเหมือนกัน ถ้ามีการจัดประกวดก็ไม่แน่นะ ผู้เขียนอาจเป็น “เอตทัคคะ”ด้านนี้ได้อย่าง (ไม่น่าภาคภูมิใจ) ได้เลยหล่ะ ผู้เขียนเคยลองนึกย้อนๆไปนะสิ่งที่พูดมาทั้งหมดจริงๆมันก็มีมาตั้งแต่จำความได้แหละ แต่ที่มันชัดเจนคือมันสะสมมาจนโตเต็มที่ก็ตอนอายุสามสิบขึ้นมานี่แหละ คือมันเห็นชัดมากและแนวโน้มที่มันจะเป็นไปคือ มันจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆแบบอัตโนมัตซึ่งผู้เขียนได้วิเคราะห์ดูแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากและน่าละอายมากๆ นี่ขนาดเราไม่ได้เป็นคนเก่ง คนฉลาดที่ทำอะไรก็ประสพผลสำเร็จร่ำรวยมีชื่อเสียงมันยังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้า genius ได้ขนาดนั้นจะแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือคนประเภทแบบผู้เขียนนี้จะมีความทุกข์อัดอั้นในใจมาก คือพอไม่ได้ดั่งใจโทสะก็จะแรง ยิ่งแรงมากก็ยิ่งทุกข์มากอย่างช่วยไม่ได้ จะขอเล่าเรื่องราวของผู้เขียนแบบย่อๆไว้สักหน่อยนะเผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง ราวๆปี ๒๕๕๓ ผู้เขียนได้มาทำงานอยู่ที่ชลบุรี ตอนนั้นชีวิตมีการหักเหอย่างรุนแรงจนแทบพยุงตัวไม่รอดเหมือนกัน ก็พยายามอธิฐานขอให้เจอทางออกบ้างเพราะทุกข์มากจริงๆ จนได้มาเรียนหลักสูตรครูสมาธิของหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโรที่สาขา ๑๙ วัดแหลมทอง แหลมฉบัง ช่วงนั้นก็ได้ฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรมจนจบตามหลักสูตรเรียนอยู่ ๖ เดือนถึงจบมาได้ จากนั้นก็ฝึกทำต่อเองที่ห้องหรือที่ทำงานบ้างแล้วแต่โอกาศ แต่ก็ยังไม่ได้อะไรนะส่วนมากจะหลับ จนราวๆปี ๒๕๕๕ รู้สึกว่ามันมีการพัฒนาขึ้นมาบ้างแต่จะไม่ขอลงรายละเอียดนะ (เดี๋ยวจะหาว่าอวดอุตริ) สรุปเอาเป็นว่าทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้นแบบปุบปับทั้งการงาน ทั้งการเงินจิตใจก็มีกำลังสดชื่นเบิกบาน ก็สามารถทรงอยู่อย่างนี้ได้เป็นปีๆ พอปี ๒๕๕๖ ชักเริ่มแปลกๆคือไม่สามารถทำได้เหมือนเดิมอีกทุกอย่างก็ค่อยๆกลับตาลปัตรไปเป็นตรงกันข้าม แต่สิ่งที่แถมมาแล้วเห็นชัดโดดเด่นมากที่สุดคือเจ้าตัว “โทสะ” นี่แหละ มันมีกำลังรุนแรงมากจนบางทีอกแทบฉีกเลย ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าเราคงอยู่ทางโลกไม่ได้แล้วเพราะอะไรมันก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด พอต้นปี ๒๕๕๗ จึงได้มาบวช แต่ก็เหมือนกรรมมันแกล้งนะคือตั้งแต่เข้าวัดมาเป็นผ้าขาวกลับโดนหนักกว่าตอนอยู่ข้างนอกอีก ครูบาอาจารย์วัดป่าทางอิสานก็ขึ้นชื่อเรื่องดุอยู่แล้ว เราก็ประเภทจ้าวโทสะอีก โอ้ โห ผู้เขียนถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกเลย แต่ด้วยความตั้งใจและทุกอย่างมันเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จึงใช้ความอดทนเป็นผ้าขาวอยู่เดือนหนึ่งจึงได้บวช แต่ทุกอย่างมันก็ยังดำเนินไปตามรูปแบบเดิมตอนนั้นรู้สึกกดดันมาก เพราะคิดว่าบวชแล้วทุกอย่างต้องดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ และที่สำคัญคือมันไม่มีทางออกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องก้มหน้ารับ แม้เราจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแต่ถ้าท่านด่ามาเราทำได้อย่างเดียวคือก้มหน้ารับ ตอนนั้นความคิดความรู้สึกมันหกคะเมนตีลังกาทำให้มึนงงไปหมด อยู่แบบหวาดผวาว่าวันนี้จะโดนอะไร เพราะถ้าท่านได้เริ่มต้นแล้วมันจบยากมากไม่ว่าจะเริ่มจากใครสุดท้ายมันก็โดนรวบไปหมดทั้งวัด และที่สำคัญคือการภาวนาของเรามันยิ่งตีบตันไปหมด เรียกว่าไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดมาจากปลายอุโมงค์ให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว จิตใจมันสลดหดหู่ไปหมดวันๆก็ได้แต่ถามตัวเองว่ามันถูกแล้วเหรอที่เราบวชมาแล้วมาเจอแบบนี้ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเพราะดูพระรูปอื่นก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากเรา จนหลังๆก็ชักไม่ไหวเลยมาสอบถามหาข้อมูลความเป็นมาเป็นไปจากครูบาธีระ และโยมที่เป็นคนวัดเก่าแก่จึงได้รู้ว่าที่นี่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ มีพระหนีออกจากวัดทุกปีบางรูปก็ออกด้านหลังวัด บางรูปก็หอบบาตรหนีตอนกลางคืน ยิ่งรุ่นครูบาธีระที่บวชในงานพระราชเพลิงหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ ตอนนั้นมาอยู่กันเกือบยี่สิบรูปแต่พอผ่านไปไม่กี่วันก็เหลืออยู่แค่ ๓ รูปนอกนั้นหนีหมด แต่ด้วยความตั้งใจของผู้เขียนมันมีมากก็ทนอยู่ทนดูมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่วี่แววว่าจะดีขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการภาวนาซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการเข้ามาบวช ก็เลยหวลนึกถึงพระสูตรหนึ่งที่ชื่อว่า “วนปัตถสูตร”ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ถึงการที่ภิกษุไปอยู่ในป่า อยู่ในบ้าน อยู่ในนิคม อยู่ในนคร อยู่ในชนบทรวมถึงการไปอาศัยอยู่กับบุคลไว้อย่างละ ๔ นัยโดยผู้เขียนขอสรุปเนื้อความของพระสูตรคร่าวๆดังนี้ว่า “ ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี (คำว่าบุคคลในที่นี้หมายถึงพระภิกษุด้วยกันนะไม่ใช่โยม) เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุ ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้แล้วพึงหลีกไปเสีย รู้กลางวันหนีกลางวัน รู้กลางคืนหนีกลางคืน นี้คือนัยที่๑ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุ ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่าเราไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรชิต เพราะเหตุแห่งจีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารก็ครั้นเป็นเช่นนี้ เมื่อภิกษุนั้นรู้เช่นนี้ แล้วพึงหลีกไปเสีย นี้คือนัยที่๒ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่าเราไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรชิต เพราะเหตุแห่งจีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารก็ครั้นเป็นเช่นนี้ เมื่อภิกษุนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็พึงอยู่เสียที่นั้นไม่ควรหลีกไป นี้คือนัยที่๓ /ภิกษุไปอยู่ป่าก็ดี อยู่บ้านก็ดี อยู่นิคมก็ดี อยู่ชนบทก็ดี อยู่นครก็ดี อยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดี เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่แล้วสติที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่ได้บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิตคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ คิลานะปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก ภิกษุนั้นพึงพัวพันอยู่กับป่านั้น บ้านนั้น นิคมนั้น ชนบทนั้น นครนั้นหรือบุคคลนั้นไปจนตลอดชีวิตอย่าได้หลีกไปแม้จะถูกขับไล่ก็ตาม นี้คือนัยที่ ๔” สรุปแล้วพระพุทธองค์ได้ทรงชี้ลงไปที่การเจริญขึ้นของสติ สมาธิและปัญญาตลอดจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง พระพุทธองค์มิได้ทรงให้เอาสถานที่ บุคคลหรือความสะดวกสบายการได้มาซึ่งลาภสักการะจตุปัจจัยเป็นที่ตั้งเลย พูดให้เข้าใจง่ายๆคือเอาผลของการปฏิบัติ ผลของการภาวนามาเป็นตัววัด ว่าควรจะอยู่ต่อดีมั้ยอะไรประมาณนี้ ผู้เขียนขออธิบายคำว่า “ปฏิบัติ และ ภาวนา” สักหน่อยตามที่เคยได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านแปลให้ฟังดังนี้ คือที่คนไทยเรามักพูดกันว่าปฏิบัติบ้าง ภาวนาบ้างนั้น ซึ่งคำว่า “ปฏิ” คำนี้แปลว่า “เฉพาะหน้า ส่วนคำว่า “ปัตติ” แปลว่า “เข้าถึง” คนไทยเราเอาภาษาของเขามาพูด แต่คงเพราะต้องการให้พูดถูกปากคล่องลิ้นหรือไงก็ไม่ทราบ จึงได้ตัดหางตัว ป.ปลาออก กลายเป็นตัว บ.ใบไม้เฉยเลยจึงมาเป็น “ปฏิบัติ” อย่างที่ใช้กันอยู่ แต่รวมความแล้วก็น่าจะแปลความหมายได้ว่า “เข้าถึงธรรมที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าในปัจจุบัน” อะไรประมาณนี้ ส่วนคำว่า “ภาวนา” ก็มาจากคำว่า “ภาวิตา พหุลีกตา” ที่แปลว่า “ทำให้มาก เจริญให้มาก” เอาหล่ะ มาว่ากันต่อพอความอดทนมันถึงที่สุดแล้ว ผู้เขียนจึงตัดสินใจเข้ากราบเรียนท่านตรงๆว่าจะขอไปอยู่ทีอื่นโดยได้ขอให้ครูบาธีระเข้าไปเป็นเพื่อน แต่พอท่านรู้ว่าผู้เขียนจะไปจริงๆท่านก็มีท่าทีเหมือนอยากให้อยู่ต่อแต่ท่านก็มีเชิงในการพูดที่เฉียบคมมาก โดยยกเอาการมาของเราว่ามาด้วยความตั้งใจมากแต่อยู่ๆทำไมมาเป็นแบบนี้จากทีแรกที่ดูเหมือนเป็นของจริงแต่แล้วก็เป็นแค่ของเก๊ไร้ราคา และอีกสารพัดที่ท่านยกมากระหน่ำซัมเมอร์เซล แต่ด้วยความที่ผู้เขียนได้ไตร่ตรองไว้ดีแล้ว จึงได้ยืนยันคำเดิมว่าจะขอไปโดยให้เหตุผลกับท่านว่า “วาสนาอุปนิสัยใจคอของกระผมมันคงไม่ถูกกับจริตการสอนของหลวงพ่อครับ ใจของกระผมมันจึงไม่ยอมลงให้” แค่นั้นแหละ ท่านชี้หน้าผู้เขียนทันทีพร้อมตวาดขึ้นว่า “ไม่ต้องเอาคำว่าจริตมาพูดอยากไปก็ไปเลย แล้วอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก เพิ่งบวชมาเพียงไม่กี่วันแท้ๆยังกล้าพูดได้ขนาดนี้ เราบวชมา ๓๘ พรรษานี่เป็นคนแรกที่กล้าพูดว่าใจไม่ลงให้ ไป! อยากไปก็ไปเลย” เฮ้ออ บรรยากาศตอนนั้นมันอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าเราเพิ่งบวชใหม่ ตั้งใจจะมาอาศัยพึ่งพิงครูบาอาจารย์เพื่อปูทางการปฏิบัติภาวนาให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ แต่ทำไมมันจึงได้กลับตาลปัตรเป็นไปอีกอย่างได้ขนาดนี้ ตอนนี้เราเป็นเหมือนคนอนาถาขาดที่พึ่งเสียแล้วเปรียบเหมือนลูกโคที่เพิ่งคลอด ที่ไม่รู้ว่าแม่อยู่ไหนได้แต่ร้องหาโดยไม่มีทิศทางไร้ซึ่งใครจะนำพาให้ถึงความเกษมได้ อีกอย่างนึงคือมันวังเวงเหมือนเรือลำน้อยที่ล่องลอยท่ามกลางมหาสมุทร ที่มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำจรดฟ้า ลำพังเรือก็ลำเล็กอยู่แล้วไม้ถ่อไม้พายก็ไม่มี อาศัยเพียงมือสองข้างที่พอจะกวักน้ำเพื่อพยุงให้เรือพุ่งไปข้างหน้าได้แต่ก็ไร้ทิศทาง พอมีคลื่นใหญ่ซัดมาก็ถลาล่องลอยไปตามแรงซัดของคลื่น ผู้เขียนก็เดินกลับกุฏิด้วยอาการเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เหมือนคนเป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นเฉียบ มาถึงกุฏิแบบงงๆแล้วจึงได้บอกกับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ต้องพึ่งตนเอง” คือด้วยความที่ผู้เขียนเป็นคนโทสะแรง ทิฏฐิมานะอัตตาสูง ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกเบียบคั้นกดดันมากๆ มีหลายครั้งมากที่ผู้เขียนจะเกิดความฮึกเหิมอาจหาญขึ้นมาแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม เวลาจะพูดหรือทำอะไรก็จะพูดหรือแบบตรงไปตรงมาตามที่มันเป็นแบบไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้มันก็มีทั้งผลดีและผลเสียนั่นแหละ สรุปแล้วนะตั้งแต่เข้าไปอยู่ที่วัดนั้นยันถึงวันที่ออกมาโดนฝ่ามือของท่านฟาด ๒ ครั้ง โดนเตะอีกครั้งนึง ส่วนที่โดนด่าทั้งโดยตรงและโดยอ้อมนี่ขี้เกียจนับ เอ…เขียนไปเขียนมาไฉนมันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวไปเสียฉิบ เอาเถอะใกล้จบแล้วหล่ะแต่เอาไว้มาว่ากันต่อตอนหน้านะ
“สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา”
(สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง)
ปัญญาวชิโร ศากยปุตโต ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น