วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๒

ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน
   
หลังจากที่ผู้เขียนได้มากราบหลวงตาณรงค์ศักดิ์ (ผู้เขียนจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อ แต่ในที่นี้จะใช้คำว่าหลวงตา ตามที่คนส่วนมากเรียกท่าน) และขอเป็นลูกศิษย์ติดตามท่านที่ อ.วังม่วง จ.สระบุรี เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม๒๕๕๘ ท่านก็ได้พาคณะเราตระเวนไปแสดงธรรมตามที่ต่างๆจนข้ามปีผ่านมาหลายที่เช่น ที่พักสงฆ์ชั่วคราวหลักสี่ วัดถ้ำซับมืด ปทุมธานี นครสวรรค์ พิจิตร แล้วจึงได้กลับมาพักที่วัดป่าหัวตลุกวนารามอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีโปรแกรมที่จะขึ้นมาภาคเหนือโดยเริ่มเดินทางวันที่ ๒๗ มกราคม ไปที่วัดหนองน้ำเขียว อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อกราบ
นมัสการหลวงพ่อสุจินต์ สุจิณโณ ซึ่งพรรษาที่ผ่านมาผู้เขียนได้มาจำพรรษาที่นี่กับครูบาธีระซึ่งก็ได้ติดตามมาด้วยกัน หมู่บ้านนี้อยู่บนดอยแต่ไม่สูงชันมากนัก ชาวบ้านเป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง มีศรัทธาในศาสนาพุทธมั่นคงดี ซึ่งหลวงพ่อสุจินต์ได้มาอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับชาวบ้านที่นี่ก็นับได้ ๒o ปีแล้ว ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้กลับมาเยือนที่นี่อีก ถึงแม้เพิ่งจะจากไปเพียง ๒ เดือนเศษๆเท่านั้น ความรู้สึกเหมือนได้กลับมาเยือนบ้านเก่าที่เคยอยู่อาศัย กับหลวงพ่อสุจินต์ผู้เขียนรู้สึกต่อท่านเหมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่จึงมีความอบอุ่นและเป็นกันเอง ในช่วงที่อยู่จำพรรษามีหลายครั้งที่ได้นั่งสนทนาธรรมกับท่านนานเป็นชั่วโมง ซึ่งท่านมักจะมีประสพการณ์เรื่องเล่าที่ตื่นเต้นให้ฟังอยู่เสมอๆ ท่านมีความรู้หลากหลายมีธรรมที่เฉียบคมมาก แต่ท่านจะไม่ค่อยขยายความในสภาวธรรมเมื่อท่านพูดถึงข้อธรรมนั้นๆ เป็นครูบาอาจารย์ประเภทชี้เป้าหมายให้แผนที่คร่าวๆแล้วที่เหลือเป็นหน้าที่ของใครของมัน นั่นคงเป็นเพราะท่านเองก็ถูกฝึกมาอย่างนี้ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม แล้วมาอุปสมบทกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดยเฉพาะหลวงปู่ดูลย์นั้นได้ชื่อว่าเป็น”ปฐมาจารย์แห่งจิต”นามอุโฆสแห่งเมืองเสร็น ซึ่งหลานศิษย์เหลนศิษย์ (ลูกศิษย์ตรงๆแทบไม่เหลือแล้ว) ต่างก็กล่าวถึงกิตติศัพท์ของท่านว่าท่านเป็นคนพูดน้อย ยิ่งมีใครมาชวนท่านคุยเรื่องโลกๆที่ไม่เกี่ยวกับธรรมแล้วหล่ะก็ ท่านจะนั่งเฉยๆปล่อยให้คนนั้นพร่ำไปอยู่คนเดียว แต่ถ้ามีใครมาถามเรื่องปฏิบัติคำตอบของท่านถึงจะสั้นๆแต่จะคมกริบมากๆ มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านหนึ่งได้ไปเรียนถามข้อธรรมก่อนหลวงปู่จะมรณภาพ ๓๗ วัน วันนั้นหลวงปู่สนทนาธรรมกับลูกศิษย์ท่านนี้นานเป็นพิเศษ ตั้งแต่บ่ายๆจนค่ำโดยหลวงปู่ได้พูดถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสรรพสิ่งตั้งเล็กสุดในระดับปรมณู จนถึงถึงใหญ่สุดอย่างจักรวาล พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ การก่อกำเนิดขึ้นของจิตวิญญาณ การสะสมบุญบาปและความเป็นไปต่างๆของสรรพวิญญาณ จนถึงความสิ้นอวิชชาตัดห่วงโซ่แห่งสังสารวัฏฏ์กลับคืนสู่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ โดยเฉพาะปัจฉิมวาทะที่หลวงปู่ได้สอนลูกศิษย์ไว้แค่ ๒ ท่านเท่านั้น คือสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก่อนลูกศิษย์ท่านนี้ ๗ วัน คำสอนนั้นเป็นประโยคสั้นๆว่า”พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าเสีย จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”   
   

     แต่คำหลังลูกศิษย์ท่านนี้บอกว่าฟังดูแล้วน่ากลัว เลยไม่ค่อยกล้านำออกเผยแผ่คนส่วนมากจะคุ้นกันใน ๒ คำก่อน ด้วยคำสอนนี้ท่านบอกว่าต้องใช้เวลาเกือบ ๓o ปีกว่าจะเข้าใจได้ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่ถามท่านว่า ”เข้าใจมั้ย” ท่านตอบว่าไม่เข้าใจครับ แต่จะจำไว้ หลวงปู่จึงบอกท่านว่า ”จำไว้นะ กลับไปได้แล้ว” ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่หลวงพ่อสุจินต์หรือแม้แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ ท่านจึงไม่ค่อยขยายความอะไรมากเว้นแต่ระดับจิตของผู้นั้นพร้อมที่จะรับธรรมจริงๆท่านจึงจะถ่ายทอดให้ ผู้เขียนเคยได้ฟังมาว่ามีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ที่ จ.บึงกาฬ ไม่ขอเอ่ยนามท่าน (ปัจจุบันท่านยังดำรงขันธ์อยู่) สอนพระบวชใหม่รูปหนึ่งว่า ”พุทโธ” จนปีหนึ่งผ่านไปท่านไม่เคยพูดอะไรกับพระรูปนั้นอีกเลย จนวันหนึ่งบิณฑบาตกลับมาเจอกันจังๆที่หน้าวัดท่านจึงบอกกับพระรูปนั้นว่า “รู้สึกตัวไว้” ดูสิคำสอนในรอบ ๑ ปีมีแค่นี้เอง นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งที่ท่านให้มาถ้าเรายังทำไม่ได้ ท่านก็จะไม่สอนอะไรต่อจนกว่าจะทำได้จริงๆ ท่านจึงจะต่อยอดให้ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ผิดกับยุคเราที่ครูบาอาจารย์สอนจนปากเปื่อยปากแฉะ ปีๆหนึ่งท่านพูดสอนออกมาเป็นแสนๆคำ ฟังจากซี ดีก็นับเป็นหลายร้อยหลายพันนาที แต่เรากลับเอาไปทำแค่คำสองคำ (เออ จะว่าไปแล้วก็เข้าตัว) การได้กลับมาที่หนองน้ำเขียวครั้งนี้บางอย่างเปลี่ยนไปพอสมควร กุฏิและทางเดินจงกรมที่ผู้เขียนเคยอยู่รกไปถนัดตา เพราะท่านอยู่กับครูบาชูซึ่งเป็นพระชาวกะเหรี่ยงอยู่กันแค่ ๒ รูปการดูแลปัดกวาดจึงไม่ทั่วถึง ตอนเช้าออกบิณฑบาตรก็มีเด็กๆมาช่วยถือของบ้างออกมาใส่บาตรบ้าง ที่จำชื่อได้ก็มี น้องตูนุ บูเก บีโป้ และกาพอ เด็กผู้หญิงก็มีน้อง น่อมือมื่อ น่อแบ๊ละโพ และน่อทูทู เด็กชาวกะเหรี่ยงทั้งผู้หญิงผู้ชายจะมีอะไรที่เหมือนกันเลยคือ ”ขี้อาย” แต่ก็น่ารักดี คณะเราที่มาทั้งหมดมีพระ ๗ รูปโยมอีก ๒ คนมาช่วยขับรถ ก็ได้พักอยู่คืนหนึ่งจากนั้นก็เดินไปที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน โดยได้แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งติดตามหลวงตาไปแสดงธรรมที่วัดธรรมสันติเจดีย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่กลุ่มหนึ่ง และอยู่ที่บ้านธิอีกกลุ่มหนึ่งจนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์จึงได้มาร่วมกันทำสังฆกรรม คือตอนสายๆลงอุโบสถฟังปาฏิโมกข์ซึ่งถือเป็นอุโบสถครั้งแรกของที่นี่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทีแรกก็มีความกังวลอยู่เพราะอากาศเย็นมาก คอแห้งเสียงไม่ค่อยมีกลัวจะสวดไม่จบเหมือนกัน พอบ่ายคล้อยๆขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งตัดต่อเสียงอยู่ในกุฏิ ก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดแว่วๆมาจากศาลาที่ฉันน์น้ำปานะ เพราะปกติเสียงหลวงตาจะดังกังวานไปไกลอยู่แล้ว ทีแรกกะจะลุกไปอยู่แล้วแต่อีกนิดเดียวงานก็จะเสร็จอยู่รอมร่อเลยรีบทำจนเสร็จแล้วรีบคว้าเครื่องบันทึกเสียงเดินไปที่ศาลาปานะ เลยทำให้พลาดโอกาศที่จะได้บันทึกเสียงธรรมดีๆในช่วงต้น แต่ก็ไปทันจังหวะที่ท่านดร.กำลังอธิบายถึงสภาวธรรมขั้นละเอียดแก่ท่านอาจารย์เชาว์ ถึงสภาวะการที่ท่านได้เห็นสภาวะที่หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ จากที่แรกๆนั้นนานๆจะรู้ทีหนึ่ง คือหลงยาวยิ่งถ้าจิตมีกำลังจากการทำสมถะมาก็จะยิ่งเห็นได้ละเอียดจนกลายเป็นขยับตัวแล้วรู้ ขยับตัวแล้วรู้จนทำให้ความหลงมันหดตัวสั้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อมันหดตัวเข้าไปถึงที่สุดของมันแล้ว ก็จะเข้าไปถึงต้นจิตที่ทางสายเซนเรียกว่า ”จิตเดิมแท้” หรือที่ครูบาอาจารย์เรียกว่า ”ใจ” ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วจิตเดิมแท้กับกิริยาอาการต่างๆของขันธ์๕ที่เกิดดับก็จะแยกจากกันเป็นอิสระ ซึ่งตรงนี้ท่านดร.ได้บอกว่าท่านยังไปไม่ถึง แต่ท่านได้สรุปไว้อย่างหน้าฟังว่าหน้าที่ของท่านตอนนี้ก็คือรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ รู้เท่าทันความคิดไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้เข้าไปถึงต้นจิตให้ได้นั่นเอง ตรงนี้ผู้เขียนขอเสริมในเรื่องการเรียกชื่อที่เป็นสมมุติบัญญัติของสภาวะนิพพานไว้สักหน่อย จะเรียกว่าเป็นไวพจน์ของนิพพานก็ได้ ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่คงต้องเป็นตอนหน้านะเพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไปยังไงก็คอยติดตามกันได้   (ขออย่าได้นำบทความนี้ไปเปรียบเทียบอันจะเป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งกันขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคนๆหนึ่ง ที่ได้แชร์ประสพการณ์เพื่อธรรมทานเท่านั้น)
                                      ด้วยความเคารพ                      
                       “ปัพพชิตา ปัญญาวชิโร”๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น