บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๖
หมวดจิตคือการพิจารณาเห็นจิตในจิต คือจิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต(จิตถึงความเป็นใหญ่คือฌานต่างๆ) จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ตามความเป็นจริง จิตไม่มีราคะ จิตไม่มีโทสะ จิตไม่มีโมหะ จิตไม่หดหู่ จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่เป็นมหรคต จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตไม่เป็นสมาธิ จิตไม่หลุดพ้นก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและเสื่อมไป มีสติตั้งมั่น จิตมีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้เท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ยึดมั่นอะไรๆในโลก
ใน “มหาสติปัฏฐานสูตร”
ที่อยู่ในพระสุตตันตปิฏกเล่มที่ ๑o ทีฑนิกาย มหาวรรค
(บาลีสยามรัฐ ภาษาไทย) พระพุทธองค์ได้แสดงพระสูตรนี้ที่นิคมชื่อ “กัมมาสทัมมะ”
ในแคว้น “กุรุ” โดยมีอุทเทสดังนี้
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
ฯ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ฯ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิฌชาและโทมนัสในโลกเสียได้”
โดยในหมวดกายพระพุทธองค์ได้แบ่งออกเป็น ๖ บรรพ คือ
๑) อานาปานบรรพ คือการตามระลึกรู้ในลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก
๒) อิริยาปถบรรพ คือการตามระลึกรู้ในอิริยาบถต่างๆของร่างกาย
คือยืน เดิน นั่ง นอน
๓) สัมปชัญญบรรพ คือการตามระลึกรู้ในความเคลื่อนไหวที่เป็นอิริยาบถย่อยต่างๆของร่างกายเช่นคู้
เหยียด ก้ม เงย
๔) ปฏิกูลมนสิการบรรพ
คือการพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นของสกปรก
๕) ธาตุมนสิการบรรพ
คือการพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นธาตุ
๖) นวสีวถิการบรรพ
คือพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นของสูญ(ป่าช้า ๙ อย่าง) พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและเสื่อมไปของกายทั้งหลาย
มีสติตั้งมั่นกายมีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้เท่านั้น
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
หมวดเวทนาคือการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย คือรู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา
ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา อันมีอามิส (เหยื่อล่อ) และไม่มีอามิส พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของเวทนาทั้งหลาย มีสติตั้งมั่นเวทนามีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้
เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
หมวดจิตคือการพิจารณาเห็นจิตในจิต คือจิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต(จิตถึงความเป็นใหญ่คือฌานต่างๆ) จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ตามความเป็นจริง จิตไม่มีราคะ จิตไม่มีโทสะ จิตไม่มีโมหะ จิตไม่หดหู่ จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่เป็นมหรคต จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตไม่เป็นสมาธิ จิตไม่หลุดพ้นก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและเสื่อมไป มีสติตั้งมั่น จิตมีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้เท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ยึดมั่นอะไรๆในโลก
หมวดธรรมพระพุทธองค์ได้แบ่งออกเป็น ๕ บรรพคือ
๑) นิวรณบรรพ
คือการระลึกรู้และกำจัดธรรมอันเป็นเครื่องกั้นจิตจากความดี ๕ อย่างคือกามฉันท์๑
พยาบาท๑ ถีนมิทธะ๑ อุทธัจจะกุกกุจจะ๑ วิจิกิจฉา๑
๒) ขันธบรรพ คือการรู้เท่าทันความเกิดดับของขันธ์ ๕ คือรูป๑
เวทนา๑ สัญญา๑ สังขาร๑ วิญญาณ๑
๓) อายตนบรรพ
คือการรู้เท่าทันถึงความไม่ใช่ตัวตนของผัสสะ คือการกระทบสัมผัสของตากับรูป
หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ
ใจกับธัมมารมณ์อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์(เครื่องร้อยรัด)
๔) โพชฌงคบรรพ สำรวจความพร้อมในธรรมอันเป็นองค์แห่งการบรรลุมรรคผล
มี ๗ อย่างสติสัมโพชฌงค์๑ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์๑ วิริยสัมโพชฌงค์๑ ปีติสัมโพชฌงค์๑
ปัสสัททิสัมโพชฌงค์๑ สมาธิสัมโพชฌงค์๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์๑
๕) สัจจบรรพ รู้จักความจริงอันเป็นอริย (อริ=ศรัตรู หมายถึงกิเลสตัณหาต่างๆ ยะ=ไป,ห่างไกล สัจจะ=ความจริง)ได้แก่
๑. ทุกขอริยสัจ คือชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ว่าโดยย่อคืออุปปาทานในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์
๒. ทุกขสมุทยอริยสัจ คือความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน
ได้แก่ตัณหา ๓ อย่าง คือกามตัณหา ความทะยานอยากในกาม๑ ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น๑
วิภวตัณหา ความไม่อยากมีอยากเป็น๑
๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ คือความสำรอก
ความสละ ความส่งคืน ความไม่มีอาลัยโดยไม่มีส่วนเหลือ (นิ=ไม่มี,ออก, โรธะ=ขอบเขื่อนหมายถึงไม่มีขอบเขื่อนที่จะเก็บกักสิ่งใดๆไว้ได้)
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือหนทางสู่ความพ้นทุกข์อันประเสริฐ
๘ ประการได้แก่
สัมมาทิฏฐิคือ ความรู้ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค๑
สัมมาสังกัปปะคือ ความดำริในการออกจากกาม
ในความไม่พยาบาท ในความไม่เบียดเบียน๑
สัมมาวาจาคือ การงดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ๑
สัมมากัมมันตะคือ การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์
การประพฤติผิดในกาม๑
สัมมาอาชีวะคือ การละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย
สำเร็จการเลี้ยงชีพที่ชอบ๑
สัมมาวายามะคือ
การมีฉันทะพยายาม ปรารภความเพียรประคองจิตตั้งไว้
เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง
ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว๑
สัมมาสติคือ
การตามระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม๑
สัมมาสมาธิคือ การได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌาน
ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุถฌาน๑
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในภายนอก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
มีสติตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้
เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว
ไม่ยึดมั่นอะไรๆในโลก
ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาโดยสรุปย่อๆของ “มหาสติปัฏฐานสูตร”
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกอีกอย่างว่า “เอกายนมรรค” อาจจะแปลว่า “ทางสายเอก”
“ทางอันเป็นเอก” ทางแห่งการไปผู้เดียว” “ทางของผู้เป็นเอก”หรืออะไรก็แล้วแต่
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอุปมาเหมือนประตู ๔ บานที่จะเข้าทางบานไหนก็ได้
ย่อมสามารถประจักษ์แจ้งในนิพพานได้ดุจเดียวกัน ซึ่ง “สติ” คือความระลึกได้นี้
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ศรัทธามีมากเกินไปขาดปัญญากลายเป็นงมงาย
ปัญญามีมากเกินไป ขาดศรัทธากลายเป็นทิฏฐิมานะ สมาธิมีมากเกินไป
ขาดปัญญากลายเป็นโมหะ ปัญญามีมากเกินไป ขาดสมาธิกลายเป็นฟุ้งซ่าน วิริยะมีมากเกินไป
ขาดสมาธิกลายเป็นเหน็ดเหนื่อย สมาธิมีมากเกินไปขาดวิริยะ กลายเป็นเกียจคร้าน
สติมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีแต่คุณไม่มีโทษ”
แต่เอาเข้าจริงๆคำว่าสตินี้ก็ยังเป็นที่เข้าใจกันยาก
มีความเข้าใจกันคลาดเคลื่อนจากสภาวะตามความเป็นจริงกันอยู่มาก เพราะบางทีก็ไปแปลคำว่าสติเป็น
“กำหนดรู้” ซึ่งคำนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นคนประเภทขี้สงสัยมากๆอยู่แล้ว
ประกอบกับมันฟังทะแม่งๆ แต่ก็คุ้นหู
ทั้งเคยได้ยินครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่ามันเป็นภาษาเขมร พอมีโอกาสได้กลับมาที่บ้าน
จ.บุรีรีมย์ซึ่งประชากรส่วนมากจะพูดภาษาเขมรกันเป็นหลัก
จึงได้สอบถามพระที่ท่านพูดภาษาเขมรดู ท่านก็บอกว่าเขมรจะออกเสียงว่า “กะน็อด”เช่น
“กะน็อดเวเลียเฮย”แปลว่า “ได้ตั้ง,หรือหมายเวลาไว้แล้ว”พอไปค้นดูใน
วิกิพจนานุกรม ก็ปรากฏว่าเป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษาเขมรจริงๆ มีความหมายหลายอย่างเช่น
หมายไว้, ตั้งไว้, ตราไว้, จำกัด, หรือกดไว้, ข่มไว้,เป็นต้น ซึ่งถ้าแปลคำว่าสติเป็นกำหนดความหมายก็ผิดแน่ๆ เพราะการหมายไว้
ข่มไว้ย่อมไม่ใช่ลักษณะของสติ เพราะเป็นการจงใจกระทำขึ้น เพราะฉะนั้นคำว่า
“ระลึกรู้” จึงน่าตรงความหมายของลักษณะของสติที่สุด ผู้เขียนเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งอธิบายว่า
สติเป็นภาษาบาลีเ ถ้าภาษาสันสกฤตจะออกเสียงว่า “ศระ” แปลว่า “แล่น”
ซึ่งภาษาไทยเราเอาคำนี้มาใช้เป็นลูกศรหรือลูกธนูซึ่งลักษณะของของศรก็คือแล่นไปสู่เป้าหมายด้วยความรวดเร็วแม่นยำนั่นเอง
ซึ่งก็น่าจะตรงความหมายในเชิงลักษณะของสติ ที่ระลึกรู้ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำเท่าทันสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นจริง
ทั้งทางกาย/ เวทนา/ จิต/ และธรรม/นั่นเอง ในทางอภิธรรมจะอธิบายถึงเหตุใกล้ให้เกิดสติว่าเกิดจาก
“ถิรสัญญา” “ถิร” ก็คือ “เสถียร” ในภาษาไทย คือถ้าเราฝึกรู้สึกตัวได้บ่อยๆจิตหลงไปทางตา
หู จมูก ลิ้น กายหรือใจที่ไหลไปคิดแล้วรู้สึกตัวได้บ่อยๆ
จิตก็จะจดจำสภาวะที่หลงไปไหลไปได้ แล้วกลับมาอยู่กับวิหารธรรมของตัวเราเองเช่นจะบริกรรมว่าพุทโธ
ยุบหนอ พองหนอ หรืออยู่กับลมหายใจก็ได้ สภาวะหลงกับรู้
ก็จะเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้และจดจำไว้อย่างอัตโนมัติ ทีนี้มันก็ยังมีปัญหาอีกจนได้เพราะแต่ละคนต่างก็คิดว่าตัวเองมีสติอยู่แล้ว
ขับรถมาทำงานไม่ตกถนนหรือในชีวิตประจำวันก็มีอยู่ไม่เห็นต้องฝึกอะไรเลย เออ
นั่นนะสิชักมีปัญหา งั้นยังไงก็ค่อยมาว่ากันต่อตอนหน้านะ(อ่านเพลินๆขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคน คนหนึ่งที่อยากแชร์ประสพการณ์เป็นธรรมทาน)
ขอสติจงอยู่คู่ท่าน
ตลอดไปและตลอดจิรัตฏิฐิกาลด้วยเทอญ ปัญญาวชิโร ศากยะปุตโต ๘ มีนาคม
๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น