วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๔


หลวงตาท่านพูดต่อไปว่า ”เพราะมันพยายามรักษาตัวมันเอง รักษาจิตของตัวเองไม่ให้มีกิเลส จนเข้าใจว่าเราไม่มีกิเลสแล้ว เพราะไม่มีการคิดปรุงแต่งไปทั้งทางและโลกทางธรรม แต่จริงๆแล้วการที่พยายามรักษามันไว้แบบนี้ มันกลายเป็นภาระมาก เป็นความทุกข์ความเครียดมาก มันเป็นเหมือนวิชาญตอนนี้ พอวิชาญเหนื่อยกับการที่ต้องมารักษาตัวเองไว้ พอวิชาญปล่อยแค่นิดเดียว เสี้ยววินาทีที่วิชาญปล่อยก็หลงคิดไปในทางโลกหรือทางธรรมเลย สิ่งที่ตามมาคือพอรู้ว่าตัวเองหลงทีนี่ก็มาพยายามใส่ตัวรู้ ใส่กำลังของสติปัญญาในการจี้ในการคิดค้นใส่เข้าไปเพื่อไม่ให้ตัวเองหลง เลยกลายเป็นความเครียดสะสม เป็นความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ อึดอัดคับแค้นอยู่ภายใน คล้ายๆกับว่าอยากได้อะไรแล้วมันไม่ได้ดั่งใจเลยพาล หงุดหงิดๆ แต่พอ
ผ่อนหน่อยเดียวก็เตลิดไปคิดทางโลกหรือทางธรรมอีกมันก็เลยสลับกันอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งต้องมาเห็นอีกทีว่าการที่ต้องพยายามรักษาตัวเองไว้นั้นแหละมันเป็นตัวทุกข์ จึงจะเกิดปัญญาปล่อยวางมันได้ มันเหมือนกับเราเลื่อยเจาะเข้าไปในลำไม้ไผ่ พอผ่านเนื้อไม้ไผ่เข้าไปแล้วข้างในกลับเป็นความว่างเปล่า นั่นแหละคือต้นจิตหล่ะ” ตรงนี้ผู้เขียนขออธิบายเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดไว้สักหน่อย คือที่หลวงตาท่านเอาสภาวะของผู้เขียนมายกเป็นตัวอย่างนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่กี่ยวเนื่องกันสามารถเอามาโยงเชื่อมต่อเพื่อความเข้าใจของผู้ฟังในขณะนั้นได้ เพียงแต่มันมีระดับของความแตกต่างกันตรงที่สภาวะของผู้เขียนนั้น มันยังเป็นเพียงความพยายามที่จะมีสติตื่นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองหลง แต่สภาวะที่หลวงตาท่านพูดถึงการรักษาตัว “ผู้รู้” ไว้จนเข้าใจว่าตัวเองหมดกิเลสแล้วนั้น เป็นสภาวะของพระอริยะขั้น อนาคามี  เพราะต่อจากนั้น อ.เชาว์ได้ถามท่านว่า การรักษาผู้รู้ไว้ในลักษณะนี้ใช่แบบที่หลวงตามหาบัวติดอยู่ ๘ เดือนมั้ย หลวงตาตอบว่า ไม่ใช่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ แต่เป็นหลวงปู่บัว สิริปุญโณ วัดป่าหนองแซง คือหลวงปู่บัว สิริปุญโณ ท่านมาหลงรักษาตัว “ผู้รู้” หรือใจที่เป็นผู้รู้ที่ผุดผ่องเด่นดวงประภัสสร จนท่านเข้าใจว่าท่านสิ้นกิเลสแล้ว จนวันหนึ่งหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ มาแก้ให้ท่านจึงสามารถทำลายตัว “ผู้รู้” นั้นได้ท่านจึงได้ประจักษ์แจ้งต่อนิพพาน คือเข้าถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงได้ หรือถ้าจะพูดแบบที่เราจะว่ากันต่อไปให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ ทิ้งผู้รู้ไปเป็นธาตุรู้นั่นเอง (นี่คือระดับความแตกต่างของสภาวะที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านเข้าใจ) ซึ่งสภาวะของ “ผู้รู้” ในระดับนี้ ก็ได้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายท่านพูดถึงไว้เช่น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ ท่านบอกไว้ว่า “จิตที่เป็นต่อมผู้รู้คือจิตที่ยังมีอวิชชา” หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ท่านบอกว่า “นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นิพพานเหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีอะไรจะหมายได้” และแน่นอน “ปฐมาจารย์แห่งจิตผู้ไม่มีใดเทียม” อย่างหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านได้กล่าวไว้ว่า “พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าเสีย จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” ฉายาของท่านแปลว่า ไม่สามารถชั่งตวงได้ ไม่สามารถเทียบเทียมได้ ตุละ แปลว่า การชั่ง,ตวง อะ แปลว่า ไม่, คำนี้คนไทยเราก็ได้นำเอามาใช้จนกลายเป็นภาษาไทยไปแล้วคือ “ตุลาการ” การ มาจากคำว่า “กะระ” แปลว่า “กระทำ” ความหมายตามพยัญชนะจึงแปลว่า “กระทำการชั่งตวง” ตามอรรถก็น่าจะแปลว่า “ทำให้เกิดความเที่ยงธรรม” อะไรประมาณนี้ เพราะสัญลักษณ์ที่นำมาใช้คือ “ตราชั่ง” นั่นเอง คำว่า “พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต” จึงหมายความว่า เมื่อภาวนามาจนถึงขั้นนี้แล้ว จิตผู้รู้จะเด่นดวงขึ้นมาจนกลายเป็นสิ่งดีสิ่งวิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน พระอนาคามีท่านจึงหวงแหนจิตประเภทนี้มาก ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่าหวงแบบงูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว ถ้าวันไหนมันมีอาการหมองๆลงไปแค่นิดเดียว ท่านจะต้องรีบพลิกให้มันกลับมาเด่นดวงเป็นความสุขที่ฉ่ำเยิ้มแล้วก็รักษามันไว้อยู่อย่างนั้น เพราะพระอนาคามีท่านละ “โอรัมภาคิยสังโยชน์” คือสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว ๕ ประการคือ
   ๑)สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นตัวของตน เช่นเห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณเป็นตัวตน 
  ๒)วิจิกิจฉา คือความลังเลสัย ไม่แน่ใจ ในพระรัตนตรัย 
  ๓)สีลพตปรามาส คือความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำๆตามกันมาอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วย ศีลและข้อวัตร 
๔)กามราคะ คือความกำหนัดในกาม ความเพลิดเพลินในกามคุณ 
 ๕)ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคืองในใจ
             (รายละเอียดของพระอริยะบุคคล ๔ จำพวกเดี๋ยวจะเอามาลงไว้ในตอนต่อๆไป)



     ท่านจึงเป็นผู้มี ศีลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์ และปัญญาปานกลาง จิตของท่านจึงไม่กระเพื่อมไหวไปในทางกามราคะ คือความชอบใจใน รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่ดีที่ชอบ ไม่กระเพื่อมไหวไปทางปฏิฆะ คือความขัดเคืองใจใน รูป เสียง กิ่น รส และโผฏฐัพพะที่ไม่ดีที่ไม่ชอบ แต่ยังไหลไปใน รูปราคะ อรูปราคะ และยังมี มานะ คือเทียบเขาเทียบเรา อุจธัจจะ คือความฟุ้งไปในธรรม ที่ท่านเรียกว่า ธัมมุทัจ สุดท้ายคือ อวชิชชา ซึ่งเป็นโคตะระโคตรของความหลงทั้งมวลนั่นเอง เห็นไหมหล่ะว่าการรักษา “จิตผู้รู้” ไว้แค่อย่างเดียวทำให้ยังเหลือ “อุจธัมภาคิยสังโยชน์” คือสังโยชน์เบื้องสูงอีกตั้ง ๕ อย่าง หลวงปู่ดูล อตุโล ท่านจึงให้ทำลายมันเสีย การทำลายก็คือการไม่ไปรักษามัน ไม่ยึดมั่น ถือมั่นมันนั่นเอง หลวงปู่ดูลย์ท่านได้เคยปรารภให้ลูกศิษย์ท่านหนึ่งฟังว่า “เราพิจารณาดูแล้วนะ นักภาวนาที่เก่งๆแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ส่วนมากตายแล้วไปเป็นผีใหญ่” คำว่าผีใหญ่ของท่านก็คือไปเป็น “พรหมอนาคามี” นั่นเอง เพราะนักภาวนาที่เก่งๆฉกาจฉกรร ส่วนมากก็มาตายกันที่วาง “จิตผู้รู้” ไม่เป็นนี่เอง ส่วนคำว่า “พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย” คำนี้ฟังดูแล้วมันชั่งน่ากลัวมากๆ หลังๆก็เลยไม่ค่อยมีใครเอามาพูดกัน แต่จริงๆแล้วท่านหมายถึง “พระพุทธเจ้าที่เห็นในนิมิต” เพราะท่านได้เคยพูดถึงการที่นักปฏิบัติหลายๆคน มักจะมาเล่าให้ท่านฟังว่านั่งสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ ท่านจึงบอกว่า “ที่ว่าเห็นหน่ะ เห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น นั้นไม่จริง” เพราะนิมิตก็คือนิมิตมันมีทั้งจริงและไม่จริง โดยเฉพาะการเห็นพระพุทธเจ้านั้นให้พึงสังวรไว้ก่อนเลยว่า “โดนหลอกเข้าแล้ว” เพราะหลวงตาเองท่านก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่า พระที่เคยรู้จักกันรูปหนึ่ง เห็นพระพุทธเจ้ากวักมือให้เข้าไปหา ท่านจึงเดินไปหา พอเข้าไปใกล้ๆ พระพุทธเจ้ากลับหันหลังเดินไป ท่านก็เดินตาม พระพุทธเจ้าเดินเร็วขึ้น ท่านก็เดินเร็วๆตามไป พระพุทธเจ้าวิ่ง ท่านก็วิ่งตามไป สุดท้ายผ้าผ่อนหลุดกลายเป็นบ้าไปเลย นี่แหละคือความหมายที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย” เพราะนับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ปรินิพพานไปแล้วก่อนหน้านั้นท่านได้ตรัสไว้ว่า “ทั้งมนุษย์และเทวดาจะไม่มีใครได้เห็นพระองค์อีก” เอาหล่ะ มาต่อกันตรงคำว่า “พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้” หลวงตาบอกว่าคำๆนี้มีคนเข้าใจผิดกันมาก เพราะไปคิดว่าไม่ต้องไปมัวหาผู้รู้ให้เสียเวลาแล้ว เพราะสุดท้ายก็ต้องทิ้งมันอยู่ดีอย่างนี้ก็ทิ้งมันไปเลยจะได้จบ แล้วก็ไม่ทำอะไรอยู่แบบ เอ๋อๆเบลอๆ ลอยๆ แบบนี้มันก็สุดโต่งไปอีกแบบหนึ่ง ท่านบอกว่าพวกนี้ภาวนามักง่ายชอบทิ้งเหตุ ไปจับผลที่สุดก็เลยเป็นแบบนี้ซึ่งก็มีมากเหมือนกัน จากนั้นท่านก็อธิบายถึงสภาวะการที่ได้ทิ้งจิตผู้รู้ไปแล้วว่า มันไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นในตัวที่เข้าไปรู้ ทุกอย่างเป็นอิสระไม่เกาะเกี่ยวกัน ขันธ์ ๕ มันก็เกิด ดับไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง มันปรุงแต่งธัมมารมณ์ใดขึ้นมา ส่วนธาตุรู้ก็ได้แต่รู้เฉยๆมันไปช่วยอะไรขันธ์ ๕ ไม่ได้ เพราะธาตุรู้ไม่มีตัวตน มันจึงไปช่วยอะไรใครไม่ได้ ท่านได้ใช้คำว่า “รู้ สักแต่ว่ารู้” และก็ได้พยายามอธิบายในหลายๆแง่หลายๆมุมเพื่อให้พระที่นั่งฟังอยู่นั้นเข้าใจ แล้วท่านก็หันมาทางผู้เขียนแล้วถามว่า “พอเข้าใจมั้ย” เลยตอบท่านไปว่า “พอมองภาพออกครับ” แล้วท่านก็ได้ให้ผู้เขียนอธิบายให้หมู่พระด้วยกันฟัง แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าคำที่ได้พูดอธิบายในวันนั้นมันค่อนข้างวกวนไปหน่อย การที่จะให้ผู้เขียนไปพูดหรืออธิบายอะไรให้คนอื่นฟัง เพื่อให้เขาเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจนั้น มันชั่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เขียนจริงๆ ยิ่งอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์แล้วด้วยมันก็ยิ่งประหม่า ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดด้อยของผู้เขียนที่แก้ยังไงก็ยังแก้ไม่ตก ผู้เขียนจึงได้ตัดคำอธิบายของตัวเองออก ในไฟล์เสียงและวี ดี โอ จึงไม่มี แต่ก็แปลกเหมือนกันคือถ้ามีใครมาถามด้วยความสงสัยอยากรู้ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเขาคาดว่าเราคงพอจะให้ความกระจ่างแก่เขาได้ คือถามเพราะอยากรู้จริงๆ ไม่มีทิฏฐิตั้งไว้ข้างใน ถ้าแบบนี้ผู้เขียนกลับสามารถพูดอธิบายได้เป็นฉากๆ และผู้ถามเองก็พึงพอใจในคำตอบทุกๆครั้งเหมือนกัน เช่นครูบาธีระที่ติดตามกันมาจากมหาสารคาม และได้อยู่จำพรรษาด้วยกันที่วัดหนองน้ำเขียว ท่านก็มักจะมีปัญหาข้อข้องใจมาถามผู้เขียนอยู่เรื่อยๆ และตอนนี้ก็มี หลวงพี่อำนวย ผู้เขียนจะเรียกท่านว่า “พี่หมอ” เพราะท่านเคยเป็นนายสัตวแพทย์ลาออกจากราชการมาบวช อายุท่านแก่กว่าผู้เขียนสิบปี ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกัน ๒ รูปที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูนเพราะทั้งหลวงตาณรงค์ศักดิ์ อ.เชาว์ ครูบาธีระ พระออด และพระดร.ต่างก็แยกกันไปตามกิจธุระของแต่ละท่าน พออยู่กัน ๒ รูปก็ได้คุยกันบ่อยๆ พี่หมอเองมักจะมีคำถามข้อข้องใจในเส้นทางปฏิปทาของบรรพชิตมากมายเป็นพิเศษ ตั้งแต่เรื่องข้อวัตรปฏิบัติ เรื่องศีล ๕ ถึงศีล ๒๒๗ แล้วต่อด้วยเรื่องสติ เรื่องสมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นแบบไหน และสุดท้ายคำถามสุดฮิตติดชาร์จอันดับหนึ่งตลอดกาลนานของนักภาวนาคือ “ทำยังไงผมจึงจะ......." ซึ่งผู้เขียนก็ได้อาศัยว่าเคยศึกษาทางปริยติมาบ้าง เลยพอมีคำตอบให้ท่านได้คลายความสงสัยได้บ้าง คือผู้เขียนเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยบวชเณรจะชอบอ่านพวก “ชาตกะ” หรือที่เราเรียกกันว่า “ชาฎก” นั่นแหละ จำได้ว่าเมื่อเกือบๆ ๒o ปีก่อน เคยอ่นหนังสือเรื่อง”สูตรของเว่ยหล่าง”ซึ่งรู้สึกประทับใจมากๆ และต่อมาก็มาอ่านของ “ฮวงโป” หลังๆก็มาอ่านงานอื่นๆของท่านพุทธทาสบ้าง และอีกหลายๆท่าน รวมทั้งจดจำมาจากครูบาอาจารย์หลายๆท่านบ้าง ก่อนบวชราวๆ ๔-๕ ปีผู้เขียนเริ่มปูทางให้กับตัวเองเอาไว้โดยการเริ่มเข้ามาศึกษาหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่เรียกกันว่า “นวังคสัตถุศาสน์” คือคำสอนของพระศาสดาที่ประกอบด้วยองค์ ๙ ประการคือ สุตตะ๑ เคยยะ๑ เวยยากรณะ๑ คาถา๑ อุทาน๑ อิติวุตตกะ๑ ชาตกะ๑ อัพภูตธัมมะ๑ เวทัลละ๑ แต่ไม่ใช่ว่าเก่งกาจตากฉาน คือแค่พอเป็นแนวทางเป็นแผนที่คร่าวๆให้กับตัวเองได้ รวมทั้งการได้ฟังธรรมเทศนาของครูบาอาจารย์โดยเฉพาะ พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ เอกอุแห่งพระธรรมกถึกผู้มีนามอันฟุ้งขจรไปทั่วทิศาภาค ท่านคือผู้ที่เหล่าศิษยานุศิษย์ต่างยกย่องท่านว่าเป็น “พระนักปราชญ์แห่งแดนที่ราบสูง” เพราะท่านผู้นี้เองที่ผู้เขียนได้รับประโยชน์มากๆเลยที่เดียว เอาหล่ะเดียวจะยาวเกินไป บทสนทนาจะดำเนินไปยังไงก็ค่อยว่ากันตอนหน้านะ
  (ขอให้เห็นเป็นเพียงความคิดเห็นของคน คนหนึึ่งที่อาจไม่ตรงถูกต้องตรงจริงทุกอย่าง ตั้งใจอยากนำออกเผยแผ่เพื่อประโยชน์ในทิฏฐธรรมของผู้แสวงหาความพ้นทุกข์จากสังสารวัฏฏ์)
                        ขอน้อบน้อมแด่พระพุทธ พระธัม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะจนตลอดชีวิต

                                     ปัญญาวชิโร ศากยะปุตโต ๔/มีนาคม/๒๕๕๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น