วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๔

 
     ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเอาเรื่องแสงกับเวลามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สภาวะการรู้แบบในๆๆๆ ของจิตกับอารมณ์ ซึ่งเรื่องความเร็วของแสง การยืดหดของเวลาและระยะทางนี้ ก็มีที่มาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของยอดนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวเกิดเมื่อ 14 มีนาคม 2422 ต่อมาได้โอนสัญชาติมาเป็นสวิสเซอร์แลนด์และอเมริกันตามลำดับ โดยเขาได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ คืออธิบายถึงการนำเอากลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และถัดมาอีกห้าปีคือปี 2458 เขาก็ได้นำเสนอทฤษฎีใหม่คือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงที่เป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล เป็นการแง้มประตูแห่งกาลเวลาสู่มิติที่๔  เปรียบเป็นคลื่นลูกที่สามแห่งการพลิกโลกพลิกจักรวาล จากที่ อาร์คีมิดีส และ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ทำไว้ก่อน
 
     และเขายังมีส่วนร่วมในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม ซึ่งทั้งสองทฤษฎีนี้ถือเป็นสุดยอดแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีควอนตัมนั้นสามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กกว่าระดับอะตอมได้ ทำให้นักฟิสิกส์ต่างก็รู้สึกพิศวงงงงวยกับการเคลื่อนที่ของอิเลกตรอนในอะตอม ที่อิเลกตรอนเพียงตัวเดียวมันสามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งภายในอะตอมได้โดยไม่ต้องผ่านช่องว่างหรือระยะทางภายในนั้น เหมือนมันสร้างปาฏิหาริย์โดยการปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในที่ต่างๆ โดยไม่มีระยะทางและเวลามาเป็นสิ่งขวางกั้น ไอน์สไตน์บอกว่า "มันทำตัวเหมือนปีศาจ" และทฤษฎีนี้เองที่ได้ขับเคลื่อนให้วิทยาศาสตร์ขยับเข้าใกล้ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปทุกทีๆ
   

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๓


   ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้บอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าได้แบ่งพระอรหันต์ไว้กี่ประเภท ได้ฤทธิ์ ได้ฌานแตกต่างกันยังไงโดยจะขอหยิบยกเอาเค้าโครงของเรื่องนี้ ซึ่งมีที่มาจากพระสูตรที่ชื่อว่า "ปวารณาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค" ซึ่งพระสูตรนี้นั้นเกิดขึ้นที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมาตา อันเป็นวันปวารณาคือวันออกพรรษานั่นเอง คำว่า "ปวารณา" ในที่นี้แปลว่า ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติว่า พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบสามเดือนแล้ว ให้กล่าวคำปวารณาเพื่อเปิดโอกาศให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้

   ในครั้งนั้นแล พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่ท่านกลางเหล่าพระภิกษุอรหันตขีสพ ๕oo รูปผู้แวดล้อมอยู่ ประดุจดวงดาราที่รายล้อมอยู่ซึ่งดวงรัชนีกรนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสปวารณาเพื่อให้หมู่ภิกษุติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปของพระองค์ทั้งทางกายและทางวาจา
   ในครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้วกล่าวในทำนองที่ว่า พระองค์คือพระศาสดาผู้ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น บอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้แจ้งในทาง ฉลาดในทาง ตัวท่านและเหล่าสาวกทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เดินตามทางที่พระองค์ได้ทรงบอก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ติเตียนพระองค์ แต่เป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงติเตียนท่านและเหล่าสาวกทั้งหลาย

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๒

ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้วที่ได้แกะคำสนทนากันระหว่างหลวงตากับเหล่าลูกศิษย์แบบคำต่อคำมาลงให้อ่านกัน ก็ไม่รู้ว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ตามเจตนาของผู้เขียนหรือเปล่า
 
   แต่ผู้เขียนพอจับประเด็นหลักๆได้อยู่ ๒ เรื่อง เพราะฉะนั้นในตอนนี้ผู้เขียนจึงอยากหยิบเอาทั้ง ๒ ประเด็นนั้นมาขยายเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ได้เคยพูดถึงไว้แล้วเมื่อตอนก่อนๆ เพียงแต่ว่ามันมีบางแง่มุมที่ยังไม่ได้พูดถึงเท่านั้นเอง

  ประเด็นแรกคือคำพูดของหลวงตาที่ว่าให้ "รู้ในๆๆ" ในความหมายที่ผู้เขียนเข้าใจคือท่านให้เราตามรู้ตามดูกิริยาอาการที่เกิดขึ้นทางประตูใจ โดยให้รู้ซื่อๆอย่างที่มันเป็น ไม่มีการเข้าไปจัดการหรือแทรกแซง ให้เป็นผู้รู้ ผู้ดูที่ดีที่สามารถรู้เห็นเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนเป็นปัจจุบันขณะๆไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและมีความเที่ยงธรรมคือมีความเป็นกลางๆในทุกสภาวะประกอบพร้อมลงในปัจจุบันขณะ พร้อมทั้งที่รู้นั้นก็ให้ละ ให้วางไปด้วย คงปล่อยให้ทุกสภาวะที่ได้รับรู้รับทราบแล้วนั้นไหลผ่านไปๆ เป็นอดีตแบบทันทีทันใด ส่วนเราก็ยืนหยัดอยู่กับปัจจุบันสันตติสืบต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าสภาวะใดจะเกิดขึ้นก็ให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ดู ที่ดี มีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ในทุกๆสภาวะ คือให้เราท่องเอาไว้เลยว่า "ถึงจะหลังพิงฝา ข้าก็จะรู้"

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑๑

ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว หลังจากที่หลวงตาเจอคำถามจากครูบาธีระทำเอาท่านสะดุดกึกไปหน่อยนึงจากที่ท่านพูดอธิบายสภาวะธรรมด้วยเสียงที่ห้าวหาญมาตลอด ท่านก็ได้ตอบคำด้วยนำเสียงที่ลดความห้าวหาญลงมานิดหน่อยว่า
 "เรารู้ผิดรู้ถูกเราก็รู้ไปเถ้อะ อย่าทิ้งรู้"
ครูบาธีระได้พูดแทรกรับเพื่อสำทับในคำถามขึ้นอีกว่า
 "จะพยายามสร้างกำลังใจขึ้นมาครับ"
หลวงตาท่านจึงได้พูดเสริมต่อขึ้นอีกว่า
 "คือมันไม่ใช่ว่ามีใครรู้ถูกเลยหรอก มันก็รู้ผิดๆถูกๆ แต่อย่าทิ้งรู้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเองแหละ"
ครูบาธีระจึงรับว่า
 "อือ ครับ อย่าทิ้งรู้ รู้ถูกรู้ผิดรู้ไปก่อน"
พระอาจารย์เชาว์ก็ได้ตอบรับขึ้นมาว่า
 "ทำได้ครับ อย่างนั้นได้"
หลวงตาก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑o




ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่บอกไว้ว่าจะมาขยายความหมายของคำว่า "ฮู้ ซือๆ" ซึ่งเป็นคำพูดของภาษาอิสานขนานแท้และดั้งเดิมกัน หรือจะเรียกว่าภาษา "ลาว" ก็ได้เหมือนกัน อืมม ไหนๆก็ได้อารัมภบทถึงที่มาของภาษาแล้ว งั้นเราก็มาดูความหมายของคำว่า "ลาว" กันก่อนสักหน่อยดีกว่า คำว่าลาวนี้ผู้เขียนเคยทราบมาว่าความหมายเหมือนกันกับคำว่าไท ที่หมายถึงไม่ใช่ทาส ไทตรงข้ามกับทาส ลาวตรงข้ามแหล่ง คำว่า "แหล่ง" กับคำว่า "ทาส" จึงมีความหมายเหมือนกัน ในภาษาเขมรที่ใช้พูดกันอยู่ในแถบบุรีรัมย์สุรินทร์ ตอนสมัยเด็กๆผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่คือผู้ที่ตัวโตกว่าจะเรียกผู้ที่เด็กกว่าว่า "อะแร่ง" คำว่า "อะ" แปลว่า "ไอ้" คำว่า "แร่ง" แปลว่าลูกน้องลูกสมุนหรือทาส ซึ่งผู้ที่ถูกเรียกก็มักไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเองตัวเล็กกว่ากำลังน้อยกว่าสู้กันไม่ได้จึงต้องจำยอม ก็เป็นอันว่าชื่อของประเทศไทยกับประเทศลาวความหมายเหมือนกันเด๊ะเลย คือ "มีความเป็นใหญ่ในตัวเอง" ซึ่งก็ถือเป็นการสืบทอดความหมายที่มีมาแต่เดิม เพราะชื่อเก่าของประเทศไทยเรานั้นชื่อว่า "สยาม" คำว่าสยามนี้ก็มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ถ้าออกเสียงแบบบาลีก็จะออกเสียงว่า "สยัง" ถ้าออกเสียงแบบสันสกฤตก็ "สยัม" หมายถึง ผู้เป็นเอง/ผู้มีความเป็นใหญ่ในตัวเองอะไรประมาณนี้ (เป็นความรู้ความเห็นส่วนตัวนะ)

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๙


ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้วนะ พอออกจากวัดนั้นมาก็มาพักที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งที่ชลบุรีซึ่งผู้เขียนเคยมาปฏิบัติธรรมช่วงวันหยุดเมื่อตอนยังเป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ ก็มีความคุ้นเคยกับที่นี่พอสมควรทีแรกกะจะมาพักอยู่เพียงระยะนึงสั้นๆ แต่ดูเหมือนวิบากกรรมของจริงมันรออยู่ที่นี่มั้ง ผู้เขียนจึงได้รับอารธนาให้อยู่จำพรรษาที่นี่เพื่อรอรับผลของวิบากนั้น เพราะสิ่งที่ผู้เขียนได้รับมันให้ผลทวีคูณมากขึ้นกว่าตอนอยู่ที่วัดเดิมอีกเป็นสิบๆเท่าเลยทีเดียว เล่นเอาน้ำตาตกในเลยแถมไปไหนก็ไม่ได้เพราะมันเป็น
ช่วงเข้าพรรษา ทั้งเสียงด่าให้เจ็บใจและความเจ็บปวดทางร่างกายที่เขามีวิธีกระทำได้อย่างแยบยลชนิดคาดไม่ถึง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือก้มหน้ารับเพราะไม่รู้จะตอบโต้ยังไง แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดนะเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะยังมีอยู่ เอาเป็นว่าผู้เขียนต้องใช้ความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจแบบสุดๆเลยเพื่อประคองตัวเองให้อยู่จนครบพรรษาให้ได้ ขนาดโยมพ่อโยมแม่รู้ข่าวท่านก็อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาเยี่ยมนะ ยังถูกคนที่นั่นมองท่านทั้งสองตอนที่ท่านเดินไปตักข้าวมากินด้วยสายตาเหยียดๆ ซึ่งบอกตรงๆเลยว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันเศร้าสลดใจแบบสุดๆมาก อยากจะเดินเข้าไปบอกกับเขาว่า “พวกเอ็งทำกับข้าฯ มามากแล้ว พวกเอ็งอยากจะทำให้มากกว่านี้ก็เชิญเลยตามสบาย เพราะข้าฯไม่ตอบโต้พวกเอ็งหรอก เพียงแต่พวกเอ็งช่วยมองพ่อกับแม่ของข้าฯให้ดีกว่านี้ได้มั้ย พ่อกับแม่ของข้าฯไม่ใช่ขอทานนะโว้ย!” แต่ก็ได้แค่คิดคำรามในใจนะคือมันทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นจริงๆ แต่ในช่วงของวิกฤตนั้นผู้เขียนก็ได้มีโอกาศไปกราบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง (ท่ามกลางเสียงด่าประจานไล่หลังแบบลั่นวัดเลย) 

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๘


ก็มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้ว ที่บอกว่าให้มีสติรู้ทันความโกรธให้ได้เป็นสเตปๆตามที่กล่าวไว้ แต่ถ้ายังไงก็ยังไม่ทันอยู่ดีจนเลือดขึ้นหน้าอันนี้เราก็ยังมีที่พึ่งสุดท้ายคือ “ศีล๕” รักษาเอาไว้ให้ดีโกรธแค่ไหนก็อย่าให้มันล้นออกมาทางวาจา คืออย่าได้กล่าวคำผรุสวาจาด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย อย่าให้มันล้นออกมาทางกายคือกำลังจะเงื้อมือทำร้ายเขาก็ต้องหยุดตัวเองให้ได้ ยอมเป็นคนโง่แล้วเดินหนียังดีกว่า คือถ้าศีลเราดีมันก็จะเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิได้ง่ายเพราะเมื่อเราไม่มีความผิดอะไรเราก็ย่อมไม่เกิดความร้อนใจที่เรียกกันว่า วิปปฏิสาร เมื่อไม่เดือดร้อนใจ ใจมันก็สงบสุข ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ผู้เขียนเคยได้ฟังหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ขออนุญาติเอ่ยนามท่านหน่อยเพราะตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่ให้ใครได้กราบไหว้อีกแล้ว ก่อนบวชราวปีหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาศไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ อยู่ที่นั่น๕วันก็ได้มีโอกาศได้กราบสนทนาธรรมกับท่านและได้ขอกรรมฐานกับท่าน ซึ่งท่านก็ได้ให้กรรมฐานแบบง่ายๆสั้นๆกับผู้เขียนมาผู้เขียนก็ยังจดจำได้เท่าทุกวันนี้ ท่านได้เล่าถึงเรื่องความโกรธที่หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ที่เป็นพระอาจารย์ของท่านได้พูดไว้ว่า “ถ้าจะให้โกรธ ขอแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งท่านได้ให้ตุผลว่าการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน คำว่า “แก้ผ้าเดินอ้อมบ้าน” เป็นสำนวนภาษาทางอิสาน ก็คือถอดเสื้อผ้าออกจนหมดเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วเดินไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อให้คนทั้งหมู่บ้านเห็นยังดีกว่าให้โกรธ เพราะการแก้ผ้าเดินอ้อมบ้านปกติมันเป็นเรื่องที่น่าอายอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้โทสะมันเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรียกว่ายึดหัวหาดยันเมืองหลวงได้แล้วมันจะสั่งงานเรายังไงก็ได้นี่กลับเป็นเรื่องที่น่าอายมากกว่า (เออ ท่านพูดไว้ได้ดีมากเลยนะ)  

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๗

ผู้เขียนเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่า “ในโลกนี้คนส่วนมากจะหลับไหลทั้งที่กายตื่น” ทีแรกก็ยังนึกค้านๆอยู่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ไปทำโน่น ทำนี่ทั้งวัน กลับมาบ้านตอนเย็นจนถึงนอนหลับอีกครั้งนั่นก็คือเราตื่นโดยตลอดอยู่แล้ว คือเข้าใจว่าถ้าร่างกายไม่หลับก็คือเราตื่นอยู่ แต่กลับไม่ใช่เพราะคำว่า “ตื่น” ของท่านหมายถึงความมีสติที่เป็น “สัมมาสติ” คือสติ
ในสติปัฏฐาน ที่เรามีสติในการดำเนินชีวิตไปได้ในแต่ละวันนั้น อันนี้เป็นเพียงสติพื้นฐานที่มีเอาไว้ใช้ในทางโลกๆ ซึ่งทุกคนต่างก็มีเหมือนๆกัน แต่ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงตื่นจากการนอนขึ้นมาแล้วก็หลงต่อเลย แถมยังเป็นการหลงที่ยาวเสียด้วยคือ “ตั้งแต่ตื่น ยันหลับ” เรียกว่าหลงวันละครั้ง ฟังดูดีนะ “หลงวันละครั้ง” หลงยังไง ก็หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปในการถูกสัมผัสทางกาย และตัวร้ายที่สุดคือหลงไปคิดปรุงแต่งทางใจ ตามีหน้าที่แค่เห็นรูป แต่ตัวที่ตัดสินว่าเป็นรูปอะไร งามไม่งาม ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าของใจ หูก็มีหน้าแค่ฟังเสียงเพราะไม่เพราะ ชอบไม่ชอบกลับเป็นหน้าที่ของใจ โดยเฉพาะจมูกนะพอได้ดมกลิ่นที่หอมแล้วชื่นชอบ แทนที่จะบอกว่า “หอมชื่นจมูก” กลับไปบอกว่า “อืมมม หอมมม ชื่นใจ” (อ้าว เป็นงั้นไป)
 

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๖


   บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๖
ใน “มหาสติปัฏฐานสูตร” ที่อยู่ในพระสุตตันตปิฏกเล่มที่ ๑o ทีฑนิกาย มหาวรรค (บาลีสยามรัฐ ภาษาไทย) พระพุทธองค์ได้แสดงพระสูตรนี้ที่นิคมชื่อ “กัมมาสทัมมะ” ในแคว้น “กุรุ” โดยมีอุทเทสดังนี้
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ฯ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิฌชาและโทมนัสในโลกเสียได้”
โดยในหมวดกายพระพุทธองค์ได้แบ่งออกเป็น ๖ บรรพ คือ
๑) อานาปานบรรพ คือการตามระลึกรู้ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
๒) อิริยาปถบรรพ คือการตามระลึกรู้ในอิริยาบถต่างๆของร่างกาย คือยืน เดิน นั่ง นอน
๓) สัมปชัญญบรรพ คือการตามระลึกรู้ในความเคลื่อนไหวที่เป็นอิริยาบถย่อยต่างๆของร่างกายเช่นคู้ เหยียด ก้ม เงย
๔) ปฏิกูลมนสิการบรรพ คือการพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นของสกปรก
๕) ธาตุมนสิการบรรพ คือการพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นธาตุ
๖) นวสีวถิการบรรพ คือพิจารณาเห็นกายโดยความเป็นของสูญ(ป่าช้า ๙ อย่าง) พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและเสื่อมไปของกายทั้งหลาย มีสติตั้งมั่นกายมีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้เท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
หมวดเวทนาคือการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย คือรู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา อันมีอามิส (เหยื่อล่อ) และไม่มีอามิส พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของเวทนาทั้งหลาย มีสติตั้งมั่นเวทนามีอยู่ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๕


          "บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๕"
ต่อจากตอนที่แล้ว เพราะเหตุที่ผู้เขียนอธิบายฟังแล้วไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจนัก อ.เชาว์จึงได้ตัดบทไปที่การปฏิบัติของท่านที่ว่า ท่านเคยทำได้ดีในระดับหนึ่งคือเห็นสังขารความปรุงแต่งเป็นส่วนหนึ่ง ผู้รู้ก็อยู่อีกส่วนหนึ่งเป็นอย่างนี้อยู่ ๒-๓ สัปดาห์จากนั้นก็มัวๆไปดูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน อาจจะเป็นเพราะกำลังมันตกไป (หมายถึงกำลังของสมถะ)
รวมทั้งร่างกายของท่านเองก็เจ็บป่วยไม่ค่อยเอื้ออำนวยอีกด้วย หลวงตาจึงตอบสรุปให้ท่านไปว่า “เป็นเพราะท่านทิ้งรู้ไป” คือเวลารู้อะไรก็หลงไปรู้อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ คือเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองกำลังหลงไปเป็นผู้รู้อยู่ เพราะจิตนั้นเกิด ดับทีละดวงเหมือนที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนที่ ๓ การปฏิบัติจึงเหมือนกับว่าได้ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้ผิด คือแทนที่จะรู้ ผู้รู้ แต่กลับเอาตัวเองไปเป็นผู้รู้ซะเอง เมื่อไม่สามารถรู้เท่าทันสภาวะได้ก็พาลหงุดหงิด บ่นงุบงิบๆ หมกหมุ่น ครุ่นคิดอยู่ภายในจับอาการอะไรก็ไม่ชัด คือหลงไปกับอาการที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นตัวเองที่กำลังหลงเข้าไปเป็นในอาการนั้นอยู่ กลายเป็นโมหะครอบก็เลยมีผลทำให้เกิดความพร่ามัว กำลังของจิตก็อ่อนแรงลง ผลจึงส่งมาที่ร่างกายทำให้มีอาการเจ็บป่วยตามไปด้วย มาถึงตรงนี้เหมือนเขี่ยลูกมาเข้าทาง ครูบาธีระซึ่งเป็นฝ่ายนั่งฟังอย่างเงียบกริบมานาน จึงเริ่มขยับเข้ามาร่วมสนทนาด้วย เพราะท่านเองก็ถือว่าเป็น “หนึ่งในตองอู” ด้าน หมกหมุ่น ครุ่นคิด ติดหล่ม จมปลัก หลักลอย หงอยๆซึมๆ อีกผู้หนึ่งเหมือนกัน ถ้ามีการจัดอันดับก็ไม่แน่ท่านอาจอาจเป็นเลิศกว่าใครๆ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า “เอตทัคคะ” เลยก็ได้ โดยท่านพูดเป็นเชิงคำถามขึ้นว่า “ในช่วงที่เรามัวๆอยู่ เราก็พลิกมาดูตัวที่รู้ว่ามัวๆซึมๆบ่นงุบงิบๆอยู่ในใจ”

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๔


หลวงตาท่านพูดต่อไปว่า ”เพราะมันพยายามรักษาตัวมันเอง รักษาจิตของตัวเองไม่ให้มีกิเลส จนเข้าใจว่าเราไม่มีกิเลสแล้ว เพราะไม่มีการคิดปรุงแต่งไปทั้งทางและโลกทางธรรม แต่จริงๆแล้วการที่พยายามรักษามันไว้แบบนี้ มันกลายเป็นภาระมาก เป็นความทุกข์ความเครียดมาก มันเป็นเหมือนวิชาญตอนนี้ พอวิชาญเหนื่อยกับการที่ต้องมารักษาตัวเองไว้ พอวิชาญปล่อยแค่นิดเดียว เสี้ยววินาทีที่วิชาญปล่อยก็หลงคิดไปในทางโลกหรือทางธรรมเลย สิ่งที่ตามมาคือพอรู้ว่าตัวเองหลงทีนี่ก็มาพยายามใส่ตัวรู้ ใส่กำลังของสติปัญญาในการจี้ในการคิดค้นใส่เข้าไปเพื่อไม่ให้ตัวเองหลง เลยกลายเป็นความเครียดสะสม เป็นความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ อึดอัดคับแค้นอยู่ภายใน คล้ายๆกับว่าอยากได้อะไรแล้วมันไม่ได้ดั่งใจเลยพาล หงุดหงิดๆ แต่พอ
ผ่อนหน่อยเดียวก็เตลิดไปคิดทางโลกหรือทางธรรมอีกมันก็เลยสลับกันอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งต้องมาเห็นอีกทีว่าการที่ต้องพยายามรักษาตัวเองไว้นั้นแหละมันเป็นตัวทุกข์ จึงจะเกิดปัญญาปล่อยวางมันได้ มันเหมือนกับเราเลื่อยเจาะเข้าไปในลำไม้ไผ่ พอผ่านเนื้อไม้ไผ่เข้าไปแล้วข้างในกลับเป็นความว่างเปล่า นั่นแหละคือต้นจิตหล่ะ” ตรงนี้ผู้เขียนขออธิบายเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดไว้สักหน่อย คือที่หลวงตาท่านเอาสภาวะของผู้เขียนมายกเป็นตัวอย่างนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่กี่ยวเนื่องกันสามารถเอามาโยงเชื่อมต่อเพื่อความเข้าใจของผู้ฟังในขณะนั้นได้ เพียงแต่มันมีระดับของความแตกต่างกันตรงที่สภาวะของผู้เขียนนั้น มันยังเป็นเพียงความพยายามที่จะมีสติตื่นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองหลง แต่สภาวะที่หลวงตาท่านพูดถึงการรักษาตัว “ผู้รู้” ไว้จนเข้าใจว่าตัวเองหมดกิเลสแล้วนั้น เป็นสภาวะของพระอริยะขั้น อนาคามี  เพราะต่อจากนั้น อ.เชาว์ได้ถามท่านว่า การรักษาผู้รู้ไว้ในลักษณะนี้ใช่แบบที่หลวงตามหาบัวติดอยู่ ๘ เดือนมั้ย หลวงตาตอบว่า ไม่ใช่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ แต่เป็นหลวงปู่บัว สิริปุญโณ วัดป่าหนองแซง คือหลวงปู่บัว สิริปุญโณ ท่านมาหลงรักษาตัว “ผู้รู้” หรือใจที่เป็นผู้รู้ที่ผุดผ่องเด่นดวงประภัสสร จนท่านเข้าใจว่าท่านสิ้นกิเลสแล้ว จนวันหนึ่งหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ มาแก้ให้ท่านจึงสามารถทำลายตัว “ผู้รู้” นั้นได้ท่านจึงได้ประจักษ์แจ้งต่อนิพพาน คือเข้าถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงได้ หรือถ้าจะพูดแบบที่เราจะว่ากันต่อไปให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ ทิ้งผู้รู้ไปเป็นธาตุรู้นั่นเอง (นี่คือระดับความแตกต่างของสภาวะที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านเข้าใจ) ซึ่งสภาวะของ “ผู้รู้” ในระดับนี้ ก็ได้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายท่านพูดถึงไว้เช่น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ ท่านบอกไว้ว่า “จิตที่เป็นต่อมผู้รู้คือจิตที่ยังมีอวิชชา” หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ท่านบอกว่า “นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นิพพานเหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีอะไรจะหมายได้” และแน่นอน “ปฐมาจารย์แห่งจิตผู้ไม่มีใดเทียม” อย่างหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านได้กล่าวไว้ว่า “พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าเสีย จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” ฉายาของท่านแปลว่า ไม่สามารถชั่งตวงได้ ไม่สามารถเทียบเทียมได้ ตุละ แปลว่า การชั่ง,ตวง อะ แปลว่า ไม่, คำนี้คนไทยเราก็ได้นำเอามาใช้จนกลายเป็นภาษาไทยไปแล้วคือ “ตุลาการ” การ มาจากคำว่า “กะระ” แปลว่า “กระทำ” ความหมายตามพยัญชนะจึงแปลว่า “กระทำการชั่งตวง” ตามอรรถก็น่าจะแปลว่า “ทำให้เกิดความเที่ยงธรรม” อะไรประมาณนี้ เพราะสัญลักษณ์ที่นำมาใช้คือ “ตราชั่ง” นั่นเอง คำว่า “พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต” จึงหมายความว่า เมื่อภาวนามาจนถึงขั้นนี้แล้ว จิตผู้รู้จะเด่นดวงขึ้นมาจนกลายเป็นสิ่งดีสิ่งวิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน พระอนาคามีท่านจึงหวงแหนจิตประเภทนี้มาก ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่าหวงแบบงูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว ถ้าวันไหนมันมีอาการหมองๆลงไปแค่นิดเดียว ท่านจะต้องรีบพลิกให้มันกลับมาเด่นดวงเป็นความสุขที่ฉ่ำเยิ้มแล้วก็รักษามันไว้อยู่อย่างนั้น เพราะพระอนาคามีท่านละ “โอรัมภาคิยสังโยชน์” คือสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว ๕ ประการคือ
   ๑)สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นตัวของตน เช่นเห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณเป็นตัวตน 
  ๒)วิจิกิจฉา คือความลังเลสัย ไม่แน่ใจ ในพระรัตนตรัย 
  ๓)สีลพตปรามาส คือความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำๆตามกันมาอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วย ศีลและข้อวัตร 
๔)กามราคะ คือความกำหนัดในกาม ความเพลิดเพลินในกามคุณ 
 ๕)ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคืองในใจ
             (รายละเอียดของพระอริยะบุคคล ๔ จำพวกเดี๋ยวจะเอามาลงไว้ในตอนต่อๆไป)

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๓


ต่อจากตอนที่แล้วศัพท์คำว่านิพพานนั้น สมเด็จพระญาณสังวรท่านได้อธิบายไว้ว่ามาจากคำ ๒ คำคือ 
๑)นิ แปลว่า ไม่มี ,ออก
๒)วานะ หรือ พานะ แปลว่า เครื่องร้อยรัด, เครื่องเสียดแทง ,ลูกศร
ภาษาบาลีนี้จริงๆแล้ว เป็นภาษา "มาคธี" คือภาษาของชาว "มคธ" ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในชมพูทวีปสมัยก่อน เนื่องจากว่าแคว้น "มคธ" เป็นแคว้นใหญ่ที่มีอำนาจมากทั้งด้านการทหารและเศรฐกิจ การเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างแคว้นจึงมีมาก แต่ที่เราเรียกกันว่าภาษา "บาลี" ก็เพราะว่าเป็นภาษาที่ถูกเลือกให้มาใช้รักษาไว้ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้รับเกียรติให้ได้ชื่อว่า "บาลี" คำว่า "บาลี" มาจากคำ
ว่า "ปาละ"หรือ "ปาลิ" แปลว่า "รักษา" แต่คนไทยเราก็มาตัดหาง ป.ปลา ออกจึงกลายเป็นตัว บ.ใบไม้ วุฒิสระ "อิ" มาเป็น "อี" จึงกลายมาเป็น "บาลี" อย่างที่รู้กันในปัจจุบัน คำนี้จึงออกเสียงว่า "นิพพานะ" สันสกฤต "นิรวาน" อังกฤษ "nirvana" ไทยเราก็ออกเสียงว่า นิพพาน เพราะศัพท์หลายๆคำในภาษาบาลีที่ออกเสียงด้วยตัว ว.คนไทยเราก็มักจะเอามาแปลงเป็นตัว พ.เช่น ปฐวี เป็น ปฐพี วัฒนา เป็น พัฒนา เป็นต้น และคำว่านิพพานนั้นจริงๆแล้วยังมีอีกหลายความหมายเช่นแปลว่า ดับเย็น ก็ได้ ซึ่งในอินเดียสมัยโบราณเขาก็ใช้กันทั่วไปเช่นไฟดับก็เรียกไฟ นิพพาน ข้าวต้มร้อนๆตอนนี้เย็นลงรับประทานได้แล้วเขาก็เรียกว่าข้าวต้ม นิพพาน เป็นต้น ในพรหมชาละสูตร (ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงทิฏฐิ ๖๒ มีอยู่ทิฏฐิหนึ่งชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน คือนิพพานในปัจจุบัน อันเป็นปรวาทะของพวกสมณพรามณ์เจ้าลัทธิเหล่าอื่นๆ ได้บัญญัติขึ้น มีแบ่งออกแยกย่อยได้ ๕ ประการคือ  
๑) อัตตาที่ได้รับการบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ให้เอิบอิ่มคือการบรรลุ นิพพาน 
๒) การได้ปฐมฌานคือการบรรลุ นิพพาน
๓) การได้ทุติยฌานคือการบรรลุ นิพพาน
๔) การได้ตติยฌานคือการบรรลุ นิพพาน
๕) การได้จตุตถฌานคือการบรรลุ นิพพาน
ในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะกลับจากการสรงสนานที่สระโบกขรณี นางขัตติยะราชกัญญาองค์หนึ่งแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระนามว่า กีสาโคตรมี ได้ขับบทกลอนชมเจ้าชายว่า
                                นิพฺพุตา นูน สา มาตา  นิพฺพุโต นูนโส ปิตา
                                นิพฺพุตา นูน สา นารี   ยสฺสายํ อีทิโส ปติ"
ก็คงจะแปลได้ว่า "ผู้ใดได้เป็นพระราชมารดาและพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ
                  ขัตติยะนารีใดได้เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ย่อมมีความสุขดับทุกข์เย็นใจ" ประมาณนี้

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๒

ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน
   
หลังจากที่ผู้เขียนได้มากราบหลวงตาณรงค์ศักดิ์ (ผู้เขียนจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อ แต่ในที่นี้จะใช้คำว่าหลวงตา ตามที่คนส่วนมากเรียกท่าน) และขอเป็นลูกศิษย์ติดตามท่านที่ อ.วังม่วง จ.สระบุรี เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม๒๕๕๘ ท่านก็ได้พาคณะเราตระเวนไปแสดงธรรมตามที่ต่างๆจนข้ามปีผ่านมาหลายที่เช่น ที่พักสงฆ์ชั่วคราวหลักสี่ วัดถ้ำซับมืด ปทุมธานี นครสวรรค์ พิจิตร แล้วจึงได้กลับมาพักที่วัดป่าหัวตลุกวนารามอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีโปรแกรมที่จะขึ้นมาภาคเหนือโดยเริ่มเดินทางวันที่ ๒๗ มกราคม ไปที่วัดหนองน้ำเขียว อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อกราบ
นมัสการหลวงพ่อสุจินต์ สุจิณโณ ซึ่งพรรษาที่ผ่านมาผู้เขียนได้มาจำพรรษาที่นี่กับครูบาธีระซึ่งก็ได้ติดตามมาด้วยกัน หมู่บ้านนี้อยู่บนดอยแต่ไม่สูงชันมากนัก ชาวบ้านเป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง มีศรัทธาในศาสนาพุทธมั่นคงดี ซึ่งหลวงพ่อสุจินต์ได้มาอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับชาวบ้านที่นี่ก็นับได้ ๒o ปีแล้ว ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้กลับมาเยือนที่นี่อีก ถึงแม้เพิ่งจะจากไปเพียง ๒ เดือนเศษๆเท่านั้น ความรู้สึกเหมือนได้กลับมาเยือนบ้านเก่าที่เคยอยู่อาศัย กับหลวงพ่อสุจินต์ผู้เขียนรู้สึกต่อท่านเหมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่จึงมีความอบอุ่นและเป็นกันเอง ในช่วงที่อยู่จำพรรษามีหลายครั้งที่ได้นั่งสนทนาธรรมกับท่านนานเป็นชั่วโมง ซึ่งท่านมักจะมีประสพการณ์เรื่องเล่าที่ตื่นเต้นให้ฟังอยู่เสมอๆ ท่านมีความรู้หลากหลายมีธรรมที่เฉียบคมมาก แต่ท่านจะไม่ค่อยขยายความในสภาวธรรมเมื่อท่านพูดถึงข้อธรรมนั้นๆ เป็นครูบาอาจารย์ประเภทชี้เป้าหมายให้แผนที่คร่าวๆแล้วที่เหลือเป็นหน้าที่ของใครของมัน นั่นคงเป็นเพราะท่านเองก็ถูกฝึกมาอย่างนี้ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม แล้วมาอุปสมบทกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดยเฉพาะหลวงปู่ดูลย์นั้นได้ชื่อว่าเป็น”ปฐมาจารย์แห่งจิต”นามอุโฆสแห่งเมืองเสร็น ซึ่งหลานศิษย์เหลนศิษย์ (ลูกศิษย์ตรงๆแทบไม่เหลือแล้ว) ต่างก็กล่าวถึงกิตติศัพท์ของท่านว่าท่านเป็นคนพูดน้อย ยิ่งมีใครมาชวนท่านคุยเรื่องโลกๆที่ไม่เกี่ยวกับธรรมแล้วหล่ะก็ ท่านจะนั่งเฉยๆปล่อยให้คนนั้นพร่ำไปอยู่คนเดียว แต่ถ้ามีใครมาถามเรื่องปฏิบัติคำตอบของท่านถึงจะสั้นๆแต่จะคมกริบมากๆ มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านหนึ่งได้ไปเรียนถามข้อธรรมก่อนหลวงปู่จะมรณภาพ ๓๗ วัน วันนั้นหลวงปู่สนทนาธรรมกับลูกศิษย์ท่านนี้นานเป็นพิเศษ ตั้งแต่บ่ายๆจนค่ำโดยหลวงปู่ได้พูดถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสรรพสิ่งตั้งเล็กสุดในระดับปรมณู จนถึงถึงใหญ่สุดอย่างจักรวาล พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ การก่อกำเนิดขึ้นของจิตวิญญาณ การสะสมบุญบาปและความเป็นไปต่างๆของสรรพวิญญาณ จนถึงความสิ้นอวิชชาตัดห่วงโซ่แห่งสังสารวัฏฏ์กลับคืนสู่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ โดยเฉพาะปัจฉิมวาทะที่หลวงปู่ได้สอนลูกศิษย์ไว้แค่ ๒ ท่านเท่านั้น คือสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก่อนลูกศิษย์ท่านนี้ ๗ วัน คำสอนนั้นเป็นประโยคสั้นๆว่า”พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิต ให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าเสีย จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”   
   

บันทึกธรรมที่ลำพูน ตอนที่๑

พระธาตุดอยเวียง อ.บ้านธิ จ.ลำพูน

“เนื่องในโอกาสที่ผู้เขียนได้อุปสมบทครบ๒ปีในวันนี้(๒๒กุมภาพันธ์๒๕๕๗)และจากการที่ได้ติดตามหลวงตาณรงค์ศักดิ์(ปกติผู้เขียนจะเรียกท่านตามความรู้สึกที่มีต่อท่านว่าหลวงพ่อ)ไปตามที่ต่างๆเพื่อบันทึกเสียงเทศนาธรรมของท่านและนำออกเผยแพร่ในหลายๆช่องทาง ก็นับได้๒เดือนเศษจนวันนี้ก็ได้มาพักอยู่ที่ ที่พักสงฆ์บ้านเตาปูน อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นที่ของท่านตู่หรือที่หมู่คณะจะเรียกท่านว่าพระดร. ซึ่งท่านก็มีความตั้งใจที่จะทำให้เป็นวัดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาสืบต่อไป ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาในกุศลจิตอันประกอบไปด้วยศรัทธาที่ท่านมีพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จากการที่ได้ติดตามหลวงตามาระยะหนึ่งผู้เขียนก็มีโอกาศได้ฟังธรรมทั้งสดๆและแห้งๆ ของท่านมามากพอสมควร (ฟังแห้งๆคือผู้เขียนต้องเอาเสียงที่ท่านเทศสอนที่บันทึกไว้มาฟังอีกหลายๆรอบเพื่อตัดให้เหมาะสมก่อนนำออกเผยแพร่) ก็พอจะ